Jump to content

ห้องนี้สำหรันคนมีครอบครัวแล้วครับ, พูดคุยกันร่วมแบ่งปันความคิดเห็นดีๆๆๆๆครับ ในการใช้


Recommended Posts

ห้องนี้สำหรันคนมีครอบครัวแล้วครับพูดคุยกันร่วมแบ่งปันความคิดเห็นดีๆๆๆๆๆ ครับ ในการใช้ชีวิตคู่ กับ ภรรยา / สามี สุดที่รักของเรา คนโสดก็เข้ามาคุยได้นะครับ ส่วนตัวผมใช้ชีวิตคู่กับภรรยาของผมมา 5 ปี แล้ว ใน 5 ปี ก็มีความสุขบ้าง ทะเลาะกันบ้างเป็นรสชาดของชีวิตคู่ครับ มีผลผลิต 1 คน น่ารักครับ ดูที่รูปประจำตัวได้นะครับ ลูกชายครับ น่ารัก วัยกำลังซนที่สุดครับ ช่วงนี้ต้องเหนื่อยครับ ซนมาก แต่ก็มีความสุขนะครับ เห็นลูกมีความสุข เห็นลูกร้องไห้ เรารู้สึกมากกว่าลูกหลายร้อยเท่า ยังไงเชิญเพื่อน พี่ น้อง มาแชร์ประสบการณ์กันนะครับ

Link to comment
Share on other sites

  • Replies 170
  • Created
  • Last Reply

Top Posters In This Topic

น้องเชสเตอร์คร้าบ........... :0089:

 

pc4rbB.jpg

 

น่ารักจังครับผม

Link to comment
Share on other sites

น่ารักจังครับผม

ขอบคุณครับพี่จุ๊บ ก็มีเค้านี่แหละ ทำให้มีกำลังใจในการทำงาน สู้ๆๆๆ เพื่อลูก :0205:

Link to comment
Share on other sites

ขอบคุณครับพี่จุ๊บ ก็มีเค้านี่แหละ ทำให้มีกำลังใจในการทำงาน สู้ๆๆๆ เพื่อลูก :0205:

 

ใช่ครับลูกคือดวงใจของพ่อแม่ ทำทุกอย่างเพื่อลูกครับ

Link to comment
Share on other sites

ขอบคุณครับพี่จุ๊บ ก็มีเค้านี่แหละ ทำให้มีกำลังใจในการทำงาน สู้ๆๆๆ เพื่อลูก :0205:

 

ใช่ครับพ่อแม่ทุกคนทำทุกอย่างก็เพื่อลูกครับ

Link to comment
Share on other sites

ข้อคิดดีๆ ของการใช้ชีวิตคู่

 

ขอโทษครับผมรักคุณ

 

1. เป็นตัวของตัวเอง และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น อย่าพยายามเปลี่ยนคนรักของคุณให้เป็นในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็น ขอให้รักในสิ่งที่คนรักของคุณเป็น ยังมีอีกหลายสิ่งอีกมากมายในตัวคนรักของคุณ ซึ่งมากกว่าสิ่งภายนอกที่ตาของคุณมองเห็น

 

2. มีอะไรต้องพูดกัน สำหรับคุณผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพูดต้องเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งบางทีคุณคิดว่ามันไร้สาระ ซึ่งต่างจากผู้หญิง อย่ามัวนั่งเดาความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ให้เรียนรู้ที่จะพูดและแสดงออกว่าคุณรู้สึกอย่างไร เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า คุณกำลังรู้สึกอะไร ต้องการอะไร ทำไมคุณถึงอารมณ์ไม่ดี หรือแม้แต่วันนี้ที่คุณอารมณ์ดีเนี่ยเป็นเพราะอะไร เมื่อคุณไม่ต้องการหรือคุณหยุดที่จะถ่ายทอด บอกเล่าความรู้สึกของคุณให้กับอีกฝ่ายได้รับฟัง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของความรัก

 

3. หากิจกรรมทำร่วมกัน ข้อนี้ง่ายมาก หากิจกรรมอะไรก็ตามที่ทั้งคู่สามารถทำด้วยกันแล้วมีความสุข กระทำร่วมกัน คุณอาจจะนั่งดูทีวี หรือไปเดินเล่นจูงมือกันในห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะตามแต่รสนิยมของคุณทั้งคู่ แล้วก็ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือเรียกว่าเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน โดยคุณผู้หญิงนานๆ ที ก็ลองนั่งดูรายการฟุตบอลรายการโปรดของแฟนคุณเปลี่ยนบรรยากาศ

 

ส่วนคุณผู้ชายก็อาจจะลองไปเดิน shopping เป็นเพื่อนแฟนคุณดูสักครั้งแทนที่จะไล่ให้แฟนคุณไปช๊อบปิ้งกับเพื่อนของเธอ อาจจะทำให้ทั้งคู่เข้าใจอารมณ์ของกันและกันมากยิ่งขึ้น การที่คุณใช้เวลากับเพื่อนของคุณมากกว่ากับแฟนของคุณ นั่นอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายบ่งบอกว่า ความสัมพันธ์ของคุณกำลังสั่นคลอน

 

4. พบกันคนละครึ่งทาง ถ้าหากแฟนหนุ่มของคุณกล้าที่จะโยนเสื้อตัวโปรด ขาดๆ เก่าๆ ที่คุณไม่ชอบของเขาทิ้ง คุณก็ไม่ควรจะโกรธถ้าเขาขอร้องให้คุณเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อย ความสัมพันธ์ที่สมดุลและแนบแน่น ต้องประกอบไปด้วยการให้และการรับ เพราะฉะนั้นจงเรียนรู้ที่จะพบกันคนละครึ่งทาง

 

5. แสดงความรักของคุณให้เขารู้ ลองซื้อดอกไม้ ขนม หรือน้ำหอม ให้กับคนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าคุณจะคบกันมา 5 ปีแล้วก็ตาม มันจะทำให้คุณรู้สึกดีที่ได้แสดงความรักแก่คนที่คุณรักอย่างสม่ำเสมอ นี่เป็นการบริหารความสัมพันธ์ของคู่ของคุณ แม้ว่าจะคบกันมานาน หัดเอาใจใส่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่คุณรักและแสดงให้เขาเห็นว่า คุณใส่ใจอาจจะเป็นเรื่องอาการไม่สบาย ขนมที่เขาชอบ หรือสีโปรดของเขา สิ่งเหล่านี้เรารับรองว่าถ้าคุณลองทำ ความรักของคุณจะชุ่มชื่น จนใครๆ อิจฉา

 

6. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน หยุดล้อเล่น และหัวเราะเยาะปมด้อย หรือข้อบกพร่องในตัวเขา หากเป็นสิ่งที่คุณเคยชินที่จะทำ ลองไตร่ตรองดูว่า เขาหรือเธออาจไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกด้วยก็ได้ ถ้าหากว่าเขามีปมด้อย ตรงความเตี้ยของเขา คุณก็ควรจะหยุดเปรยชมคนตัวสูงๆ ที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามารู้มั๊ยว่านั่น เป็นการทำลายความมั่นใจและความรู้สึกของเขาโดยตรง “ความรักเป็นเรื่องของการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และแคร์ความรู้สึกของกันและกันตลอดเวลา”

 

7. ลืมความหลังเก่าเสีย หยุดพูดถึงเรื่องเก่าๆ ไม่มีใครหรอกที่อยากจะพูดถึงและนึกถึงเรื่องที่เศร้า หรือเรื่องผิดพลาดในอดีตของตัวเอง รู้จักให้อภัยและ เลิกขุดคุ้ยข้อผิดพลาดของกันและกัน ให้อดีตเป็นเพียงบทเรียน เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปัจจุบัน…

 

8. เลิกนิสัยขี้อิจฉาของคุณ เราพนันได้เลยว่า ทุกคนมีความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงกันในช่วงต้นของความสัมพันธ์ แต่อย่าเปลี่ยนความรู้สึกไม่ปลอดภัย และระแวงมาเป็นความอิจฉา วิธีทดสอบว่าคุณเริ่มอิจฉาก็คือ คุณเริ่มที่จะตรวจสอบกระเป๋าสตางค์หรือของส่วนตัวของเขา นั่นแหละใช่เลย คุณกำลังระแวงเขาอยู่ ความอิจฉาหรือความขี้หึงก็เหมือนกับยาพิษที่ค่อยๆ ทำลายความรักและความสัมพันธ์ของคุณ ไปทีละเล็กทีละน้อยโดยที่คุณไม่รู้ตัว

จงเชื่อมั่นในตัวคนรักของคุณ ความรักจะต้องมีความเชื่อใจกันเป็นพื้นฐาน

 

9. ฝึกเป็นคนรักษาคำพูด ถ้าคุณเป็นคนชอบผิดนัดและผิดสัญญา ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องจับเข่าคุยกันให้รู้เรื่อง หากคุณคิดว่าคุณจะมีคนรัก คุณก็ควรจะให้ความสำคัญแก่คนรักของคุณ และพยายามอย่าทำให้เขาผิดหวัง ถ้าหากเป็นเรื่องที่ไม่สุดวิสัยจริงๆ เพราะมันจะทำให้เขารู้สึกแย่เมื่อคนรักของคุณต้องรอคุณทานข้าว แล้วคุณไม่มา ถ้าหากคุณไม่สามารถทำตามสัญญา ก็อย่าสัญญา เพราะว่าเมื่อไรก็ตามที่คนรักของคุณ เริ่มที่จะรู้สึกว่า เขาไม่มีความสำคัญต่อคุณสักเท่าไหร่ นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังจะสูญเสียเขาคนนั้นไปในไม่ช้า….

 

10. จงซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของคุณเอง และคนรักของคุณ ความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก หมายถึง คือการอธิบายความรู้สึกของคุณอย่างตรงไปตรงมาแก่คนรัก อย่าปิดบังความรู้สึก ถ้าคุณรู้สึกว่าเขาทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด หรือโกรธเคือง จงบอกเขาอย่างไม่ต้องอาย…ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ก็เป็นแค่เพียงความสัมพันธ์ที่ไม่มีคุณค่าอะไร… เพียงพอที่จะเสียดาย…

Link to comment
Share on other sites

การเตรียมความพร้อมก่อนการสมรส

 

แพทย์จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาทาง ด้านโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกายเพื่อป้องกันและแก้ไขได้ก่อนการแต่งงาน เริ่มแรกแพทย์จะสอบถามประวัติเกี่ยวกับการเจ็บป่วยในอดีต โรคประจำตัว รวมทั้งการเจ็บป่วยของญาติที่ใกล้ชิด

 

ฝ่ายชาย ควรตรวจร่างกายดังนี้image

 

* X-Ray ปอด

* ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

* ตรวจหากรุ๊ปเลือด

* ตรวจหาภูมิคุ้มกันตับอักเสบบี

* ตรวจหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง HIV

* ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส

* ตรวจหาธาลัสซีเมีย

 

ฝ่ายหญิง ควรตรวจร่างกายดังนี้

 

* X-Ray ปอด

* ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

* ตรวจหากรุ๊ปเลือด

* ตรวจหาภูมิคุ้มกันตับอักเสบบี

* ตรวจหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง HIV

* ตรวจหาเชื้อซิฟิลิส

* ตรวจหาธาลัสซีเมีย

* ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน

 

การเอกซเรย์ปอด หากพบว่าเป็นวัณโรคก็สามารถรักษาให้หายก่อนแต่งงานก็จะไม่แพร่เชื้อให้กับอีกฝ่าย

 

การตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน หากยังไม่มีภูมิต้านทานอาจฉีดวัคซีนให้ แต่ต้องรอประมาณ 3 เดือนเพื่อให้มีภูมิต้านทานก่อนการตั้งครรภ์

 

การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หาก มีตรวจพบว่าฝ่ายหนึ่งมีการติดเชื้อ แต่อีกฝ่ายหนึ่งยังไม่มีภูมิต้านทานของเชื้อและไม่มีการติดเชื้อนี้ก็สามารถ ฉีดวัคซีนก่อนแต่งงานได้

 

การตรวจหาการติดเชื้อซิฟิลิส หาก มีการติดเชื้อของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถ้ามีการรักษาก่อนแต่งงานแล้วก็สามารถหาย ขาดได้และไม่มีการติดต่อไปยังอีกฝ่ายได้ ส่วนมากวินิจฉัยได้จากการตรวจเลือดมากกว่าอาการที่ปรากฏ

 

การตรวจหาภูมิต้านทานเชื้อไวรัสเอดส์ หาก ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีการติดเชื้อก็จะได้ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายติดเชื้อด้วย สำหรับกรณีติดเชื้อทั้งสองฝ่ายถ้าหากไม่ต้องการมีลูกด้วยกันก็ป้องกันโดยใส่ ถุงยางทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

 

การตรวจโรคธาลัสซีเมีย ซึ่ง เป็นโรคโลหิตจางที่เป็นกรรมพันธุ์ หากเป็นโรคนี้ทั้งสองฝ่ายเด็กอาจเกิดมาแล้วซีดอย่างรุนแรงและอาจเสียชีวิต ตั้งแต่ในครรภ์ได้ ผู้ที่มียีนแฝงของโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย จะมีร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพดี เหมือนบุคคลทั่วไป ซึ่งมองภายนอก คุณจะไม่รู้เลยว่าบุคคลนั้นมียีนแฝงหรือไม่ และพบผู้มียีนแฝงประมาณ 40% ของประชากร ดังนั้น ชวนคู่รักของคุณไปตรวจเลือดเพื่อวางแผนก่อนตั้งครรภ์

Link to comment
Share on other sites

วิธีสร้างสุขและสีสันในชีวิตคู่

 

1. ความสุขเกิดได้เมื่อคนในครอบครัวมีโอกาสใช้เวลาร่วมกัน เพราะเป็นช่วงที่ต่างคนต่างกำลังสบายใจ อารมณ์ปลอดโปร่ง มองเห็นความสำคัญของกันและกัน มีความสนใจในอารมณ์และคำพูดที่แสดงออกมาของอีกฝ่าย ไม่ใช่ต่างคนต่างนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง คนเราเวลาอารมณ์ดีๆ มักสื่อสารกันด้วยความเข้าใจ

 

2. ความสุขเกิดขึ้นจากการทำกิจกรรมของครอบครัวร่วมกันอาจเป็นกิจวัตรประจำวัน เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นกีฬา ทำกับข้าว ล้างรถ ฯลฯ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างทำด้วยความเต็มใจ รู้สึกสนุกเมื่อได้ช่วยกันทำ และระหว่างกิจกรรมมีการพูดคุยหยอกล้อชวนเพลินไปอีกด้วย

 

3. ความสุขเกิดได้เมื่อมีเสียงหัวเราะร่วมกัน จึงต้องหมั่นสร้างอารมณ์ขันระหว่างกันบ้าง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะทำให้ความรักไม่เหี่ยวเฉา

 

4. ความสุขเกิดขึ้นได้เพราะมีการแต่งแต้มสีสันให้ชีวิต ทำอะไรที่พิเศษจากชีวิตประจำวันบ้าง เช่น เปลี่ยนมุมรับประทานอาหารหรืออาจทำให้อีกฝ่ายแปลกใจเล่นๆ ด้วยการซื้อดอกไม้ช่อโตมาฝากคนรักหลังเลิกงาน เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ สร้างรสชาติของชีวิตรักที่สดใสกว่าวันที่ผ่านมาได้ และเมื่อต่างฝ่ายต่างมีความสุขชีวิตคู่ก็ย่อมมั่นคงและยั่งยืน ปัญหาร้อยแปดที่จะมาสั่นคลอนความรักไม่ว่าจะเป็นความเบื่อหน่าย ความขัดแย้ง หรือกระทั่งความซื่อสัตย์ รวมไปถึงปัญหาอื่นๆ ก็มิอาจทลายความรักระหว่างคนสองคนได้อย่างแน่นอน

 

5. ความสุขเกิดขึ้นได้ หากมีเวลาส่วนตัวสำหรับเราสองคนบ้าง

Link to comment
Share on other sites

พอดีได้อ่านแล้วรู้สึกว่าดี มีประโยชน์มากสำหรับคนที่คิดจะเริ่มใช้ชีวิตคู่ หรือคนที่มีครอบครัวอยู่แล้ว อาจจะยังงงกับการใช้ชีวิต หรือการปรับตัวเข้าหากัน ลองอ่านดูนะคะ มีประโยชน์จริงๆ

 

.....................

 

ข้อสำคัญของการเลือกคู่ คือ เราไม่ได้เลือกใครเพราะเขาสมบูรณ์แบบแต่เพราะเขามีจุดดีหลักๆ ที่เราประทับใจ

 

ส่วนจุดด้อยนั้นเป็นส่วนปลีกย่อยที่เราสามารถยอมรับได้อย่างไม่ ยากเย็น ในความเป็นจริง ไม่มีใครดีเลิศสมบูรณ์แบบ

 

ถ้าเรามองไม่เห็นจุดด้อยของเขาเลย นั่นแสดงว่าเรายังไม่รู้จักเขาอย่างแท้จริง หรือไม่เราก็กำลังตกอยู่ในความหลงใหลจนไม่ลืมหูลืมตา

 

การแต่งงาน คือ การผูกพันกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพียงร่างกายและยิ่งไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เชิงธุรกิจ

 

คนที่แต่งงานเพราะความเหงา จะยิ่งเหงาหนักเป็น 2 เท่า แต่งงานแบบคลุมถุงชน ก็มีแนวโน้มว่า ชีวิตจะมืดมนไปอีกนาน

 

ความสุข ความทุกข์ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ชีวิตหลังแต่งงาน คิดให้ดีก่อนที่จะเลือกใครมาเป็นคู่ชีวิต...

 

บ้านจะเล็กหรือใหญ่ ไม่สำคัญ แต่ "ความรัก" ต้องใหญ่ที่สุดในบ้าน คำว่า "รัก" พูดมากไป ย่อมดีกว่า พูดน้อยไป...

 

เมื่อเรา ทำผิด....จง "ขอโทษ" เมื่อเขาทำผิด .... จง "ให้อภัย"

 

ชีวิตแต่งงาน คือ ชีวิตแห่งการปรับตัว ถ้าไม่คิดจะปรับตัวเข้าหาใคร อยู่เป็นโสดไปก็ดีกว่า...

 

ยอมเป็นผู้แพ้ ดีกว่าเป็นผู้ชนะที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากชีวิตสมรสที่หักพัง... "แก้ตัว"ช่วยอะไรไม่ได้ "แก้ไข"ช่วยได้ทุกอย่าง...

 

เมื่อมีปัญหาในครอบครัว อย่าลืมให้ความรัก และหลักเหตุผล เป็นกรรมการตัดสินไม่ใช้ อารมณ์ หรือ อาวุธ..

 

งอนแต่พองาม...ก็งามดี แต่งอนเกินพอดี ก็เกินงาม... ต่างคนต่างแข็ง ไม่มีใครยอมอ่อนข้อต่อกัน..บ้าน..ก็คงไม่ต่างอะไรกับสนามรบ

 

เมื่อสามีอ่อนแอ ไม่รับบทบาทผู้นำ ความสับสนวุ่นวายก็ตามมาหรือเมื่อภรรยาพยายามแย่งบทบาทการนำจาก สามี ชีวิตครอบครัวก็รอดยาก

 

ความไม่ซื่อสัตย์ ต่อกันเพียงครั้งเดียวก็อาจสั่นคลอนความไว้วางใจที่มีให้กันได้ ท้ายที่สุด ชีวิตคู่ก็จบลงด้วยความแตกร้าวยากเยียวยา

 

ความเห็นแก่ตัว สนใจแต่ปัญหาอารมณ์ ความรู้สึก และความสนใจของตัวเองชีวิตคู่ก็อยู่ด้วยกันยาก

 

ก่อหนี้สินจนล้นพ้นตัว ครอบครัวก็มีแต่ความตึงเครียดทุกเช้าเย็น

 

เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายเรียกร้องและคาดหวังจากกัน และกันมากเกินพอดี ปัญหาก็จะมีเรื่อยไป ไม่สิ้นสุด

 

ควรตระหนักว่า...ภรรยา ไม่ใช่ผู้ปรนนิบัติรับใช้สามี แท้จริงแล้วสามีภรรยาควรเอาใจใส่ดูแลกันและกันอย่างดีที่สุด... ย่อมดีกว่า

 

ไม่มีอะไร ทำให้ภรรยาปวดร้าวใจ มากเท่ากับการค้นพบว่า สามีมีหญิงอื่นในหัวใจ

 

รักเดียว ...ใจเดียวไม่ใช่เรื่องเชย แต่เป็นเรื่องดีที่สามีทุกคนในโลกควรกระทำ

 

การขอโทษภรรยาเมื่อทำผิด ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรีแต่เป็นศักดิ์ศรีของสามี...ที่แท้จริ ง

 

ไม่ควรมองว่า งานดูแลบ้าน เป็นความรับผิดชอบของภรรยา สามีควรมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระอย่างสุดความสามารถเสมอ

 

สรีระรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไปของภรรยาไม่ควรเป็นเหตุให้ความร ักในหัวใจของสามีจืดจางลงแม้แต่น้อย

 

ควรระลึกอยู่เสมอว่า การนำครอบครัวนั้น คือการนำโดยเห็นผลประโยชน์ของครอบครัวเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อความสุขความพึงพอใจของตนเอง

 

ภรรยาที่ดี ควรสนับสนุนสามีให้ก้าวไกลในชีวิต ไม่ใช่ดึงรั้งให้หยุดอยู่กับที่หรือถอยหลัง

 

ภรรยาที่ดี ไม่ควรใช้วิธีการบีบบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อให้สามีตัดสินใจตามความคิดของตน ในสถานการณ์หน้าสิ่ว หน้าขวาน

 

สามี ต้องการภรรยาที่สงบนิ่งช่วยกันคิดหาทางออก ไม่ใช่ภรรยาที่เอาแต่โวยวาย หรือร้องไห้ฟูมฟาย โดยปล่อยให้เขาต้องแบกภาระหนักอึ้ง เพียงลำพัง

 

การ ไม่ตีลูก เพราะกลัวลูกเจ็บ เมื่อยังเป็นเด็ก กลับจะทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างปัญหาและถูกลงโทษ...

 

จากสังคม

 

ช่องว่างระหว่างวัย...ระหว่างรุ่น...ย่อมไม่มี ถ้าพ่อแม่ตระหนักถึงความสำคัญและใช้ความพยายามที่มากพอ วิธีที่ดีที่สุด คือ

 

พ่อแม่ควรวางแผนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดกับลูกไม่ใช่ตามแก้ ปัญหา เมื่อเกิดขึ้นแล้ว พึงตระหนักว่า ลูกไม่ใช่ดินน้ำมัน

 

ที่พ่อแม่อยากจะปั้นให้เขาเป็นอะไรก็ได้ตามใจชอบ เขาย่อมมีจิตใจที่มีเอกลักษณ์แห่งความชอบความสนใจที่แตกต่างไปจ ากพ่อแม่ได้เสมอ

Link to comment
Share on other sites

ทำอย่างไรจึงจะเป็นครอบครัวที่มีคุณภาพ

 

ดร.นวลศิริ เปาโรหิตย

 

“ ทุกข์สุขของครอบครัวจะขึ้นอยู่กับบุคคล สองคนคือพ่อและแม่ที่จะปั้นแต่งลูกให้ออกมามีลักษณะหน้าตา บุคลิกอย่างไร รวมทั้งความสุขและทุกข์ของทุกชีวิตในครอบครัวก็ล้วนขึ้นอยู่กับการวางตัวของ พ่อแม่ในครอบครัวนั้นทั้งสิ้น” เราทุกคนต่างก็เกิดมาในครอบครัวเหมือนๆกันแต่ทำไมบางครอบครัวดูจะมี“ คุณภาพ” มากกว่าครอบครัวอื่น

 

* บางครอบครัวพ่อแม่ลูก มีลักษณะคล้ายบุคคลแปลกหน้าที่ถูกจับมารวมอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน

* บางครอบครัวมีแต่ความไม่เข้าใจ ขัดแย้งกันตลอด อยู่ใกล้กันแต่กาย แต่ใจห่างกันสุดขั้ว

* แต่บางครอบครัว แม้จะทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ยังดูรักใคร่กันดี

 

ครอบครัวที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าผู้เขียนนี้ ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกสาว วัยรุ่น และลูกชายวัย 10 ขวบ ทั้งสี่ชีวิต กำลังเผชิญกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัว นั่นคือ ลูกสาวคนเล็กที่เพิ่งอายุได้ 5 ขวบ กำลังน่ารัก เพิ่งจากไปด้วยอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด ทั้งครอบครัวยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียน้องนุชสุดท้องไปในครั้งนี้ แต่ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูก พยายามที่จะช่วยกันปลอบโยน ประคับประคองและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ความเข้มแข็งที่ฉายแววอยู่ในแววตาของพวกเขา ดูเหมือนจะเป็นเครื่องยืนยันกับผู้เขียนว่าทั้งสี่ชีวิต จะสามารถฟันฝ่าความทุกข์ในครั้งนี้ไปด้วยกันได้ในที่สุด นี่แหละคือครอบครัวที่มี “ คุณภาพ” ครอบครัวหนึ่ง

 

* สิ่งที่บ่งบอกถึงการเป็นครอบครัวที่มีคุณภาพคืออะไร ?

 

ผู้เขียนได้รวบรวม ความคิดของนักจิตวิทยาทางครอบครัวและจิตแพทย์ที่กล่าวถึงตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพของครอบค

รัวไว้ได้ 11 ประการดังนี้

 

* พ่อแม่คือแบบอย่างให้กับลูก พ่อแม่ของครอบครัวคุณภาพ จะมีลักษณะคล้าย “ ตัวแบบ” ให้

 

ลูกๆของเขา เป็นตัวแบบในการสร้างวินัยให้ลูกๆ คือ เขาจะไม่ “ ตึง” หรือ “ หย่อน” เกินไป เขาจะปกครองลูกด้วยความเข้าใจ และใช้เหตุผล เด็กๆที่เติบโตจากครอบครัวเหล่านี้ จะรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง พ่อแม่ แต่จะไม่ตามใจลูกจนเหลิงหรือบีบบังคับให้เด็กกลายเป็น “ บอนไซ” ของพ่อแม่ แต่จะคอยกำกับดูแลลูกๆ คอยเป็นหางเสือให้ลูก เพราะเขาเข้าใจดีว่า เด็กๆแม้จะต้องการอิสระบ้าง แต่เขาก็ต้องการให้พ่อแม่ให้ทิศทางแก่เขา พ่อแม่เหล่านี้จะรู้สึกว่า “ การมีลูกคือความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ของชีวิต”

 

* สมาชิกจะให้เกียรติและยอมรับในกันและกัน สมาชิกในครอบครัวทุกคน จะให้เกียรติและ

 

ยอมรับกันในความเสมอภาคแห่งค่านิยมของสมาชิกคนอื่นๆ หมายความว่า สมาชิกในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูก จะมีการยอมรับในความเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าเทียมกันและจะไม่ปฏิบัติต่อกัน อย่างเหยียบย่ำดูแคลน ทุกคนยอมรับในความแตกต่างของคนอื่นๆ และชื่นชมในความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองได้ การยอมรับและให้เกียรติ ยังมีความหมายไปถึงการเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของสมาชิกครอบครัวทุกคน ลูกๆ จะ ไม่เข้าไปค้นของในกระเป๋าสตางค์ของพ่อแม่ ส่วนพ่อแม่ก็จะไม่แอบฟังโทรศัพท์หรืออ่านจดหมายส่วนตัวของลูกเป็นต้น

 

* พ่อแม่คือผู้ที่พร้อมรับฟังลูก พ่อแม่จะรับฟัง ให้โอกาสได้พูดแสดงความคิดความรู้สึก พ่อแม่

 

เหล่านี้ จะไม่มีการวางตัวเป็นพระพุทธรูปที่แตะต้องไม่ได้ เขาพยายามเป็นเพื่อนกับลูกรับฟังและให้โอกาสได้ดู ได้แสดงออก เพราะเขาเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความรู้สึกนึกคิดของตนเอง การให้เด็กได้มีโอกาสแสดงออกทางความรู้สึกและความคิดจะทำให้เด็กๆเติบโตเป็น ผู้ใหญ่ที่คิดเป็น กล้าแสดงออกและมีความเชื่อมั่นในตนเอง คนที่ขี้กลัวขาดความเชื่อมั่น มักจะเป็นบุคคลที่ถูกปิดกั้นในความคิดจากพ่อแม่ของเขาในวัยเด็กเสมอ

 

* พ่อแม่จะสื่อภาษาเดียวกับลูก ผู้ใหญ่และเด็กจะมองโลกต่างมุมมองกัน รวมทั้งภาษาที่เด็กใช้ก็

 

จะต่างกับของผู้ใหญ่ การพูดภาษาเดียวกันกับลูก หมายความถึง การใช้สำนวนภาษาที่เด็กวัยนั้นจะเข้าใจได้ นอกจากนี้ พ่อแม่เหล่านี้จะรู้ว่า เด็กก็คือเด็ก เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ ดังนั้น การอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ อาจจะต้องทำซ้ำๆ กันหลายครั้ง บางที่ต้องพูดเป็นร้อยพันครั้งก็มี ก่อนที่เด็กจะรับรู้และเข้าใจ เพราะพ่อแม่คุณภาพเหล่านี้ เข้าใจดีว่า การทำซ้ำๆ บ่อยๆเป็นหัวใจของการเรียนรู้ นอกจากนี้ เมื่อเวลาที่จะสื่อสารพูดคุยกัน สมาชิกจะมีจิตเมตตา ไม่จับผิดกัน มีคำพูดและการกระทำที่สอดคล้องกันไปในทิศทางเดียวกัน

 

* พ่อแม่จะมีเวลาให้ลูกเสมอ ความต้องการของเด็กๆ ไม่สามารถจำกัดอยู่เฉพาะช่วงเวลาใดเวลา

 

หนึ่งเท่านั้นและจะทำเป็นตารางไว้ไม่ได้ ดังนั้น พ่อแม่จะพยายามหาเวลาอยู่กับลูกให้มากที่สุด จะไม่มีข้ออ้างว่า งานยุ่ง ธุรกิจรัดตัว เพราะเขารู้ดีว่าเวลาที่จะอยู่กับลูกเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและผ่านช่วงเวลานี้ ไปแล้ว เขาจะไม่สามารถหาช่วงเวลาอื่นมาทดแทนความขาดในช่วงนี้ได้เลย

 

* พ่อแม่ทำความผิดพลาดได้ พ่อแม่จะบอกให้ลูกรู้ว่า พ่อแม่คือมนุษย์ธรรมดาที่ทำผิดพลาดได้

 

และเมื่อพ่อแม่ทำผิด เขาจะยอมรับในความผิดพลาดนั้นทำให้ลูกรู้ว่าชีวิตที่แท้จริง มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ เด็กๆจะกล้าคิด กล้าทำเมื่อทำผิดพลาดขึ้น ก็กล้ายอมรับผิด และเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข เด็กๆจะไม่ถูกตอกย้ำในความผิดพลาดในอดีตของพวกเขาวันแล้ววันเล่า เขาจะสามารถงอกงามเติบโตได้ด้วยตนเอง โดยเอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียนเพื่อการเรียนที่สูงค่าในอนาคต

 

* พ่อแม่จะไม่ใช้เด็กมาเติมความ “ ขาด” ทางใจของพ่อแม่ พ่อแม่จะไม่ใช้ลูกมาเติมความ “ ฝัน”

 

หรือเติม ความ “ ขาด” ในชีวิตของตัวพ่อแม่เอง แต่จะช่วยประคับประคองลูกให้งอกงามและเติบโตในทิศทางที่ลูกเลือก เด็กจะอิสระที่จะมีชีวิตที่สมบูรณ์ของเขาเอง เพราะไม่ต้องมาคอยเป็นแพะรับบาปในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ ชีวิตของพวกเขาจึงพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ

 

* เมื่อมีการทะเลาะกันในครอบครัวทั้งครอบครัวจะจับเข่าคุยกัน ครอบครัวคุณภาพ ก็เหมือน

 

ครอบครัวอื่นๆ คือ มีความไม่ลงรอยเกิดขึ้นได้ในความสัมพันธ์ของสมาชิกพ่อแม่ลูก แต่เมื่อมีการทะเลาะกันเกิดขึ้นทั้งครอบครัว จะจับเข่าคุยกันเพราะความเข้าใจดีว่า เหตุที่เกิดกับคนหนึ่งในครอบครัวจะมีผลกระทบถึงทุกคนด้วยเสมอ แต่การคุยกันจะเป็นลักษณะของการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่จิกตีด่าทอกัน หรือกล่าวหากันไปมา ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง ดังนั้นปัญหาจึงได้รับการแก้ไขลุล่วงไปด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของสมาชิก ทุกคน

 

* มีทั้งสุขและทุกข์เกิดขึ้นในครอบครัว ครอบครัวคุณภาพไม่ใช่ครอบครัวที่มีแต่ความสุข

 

สมาชิกเจอทั้งสุขและทุกข์เหมือนครอบครัวอื่นๆแต่เมื่อเผชิญกับภาวะวิกฤต ทุกชีวิตจะร่วมมือผนึกกำลังกันแก้ไข ให้ความสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อแก้ไขความกดดันหรือมรสุมจากภายนอก

 

* สมาชิกมีส่วนร่วมในการ “ ให้” กับครอบครัว สมาชิกในครอบครัวทุกคน ตั้งแต่พ่อลงมาถึง

 

ลูกๆรู้จักบทบาทหน้าที่มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และครอบครัว ทุกคนมี “ งาน” หรือภาระหน้าที่ที่จะทำให้แก่ครอบครัว ไม่ทอดทิ้งให้คนใดคนหนึ่งต้องรับผิดชอบแทนสมาชิกทุกๆคน และมีส่วนร่วมกันในความสำเร็จหรือผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครอบครัว

 

* มีอารมณ์ขัน ทุกคนหัวเราะให้กันได้ สมาชิกมีจิตเมตตา โดยเฉพาะในความผิดพลาดของผู้อื่น

 

และตนเองสามารถหัวเราะให้แก่กันและกันได้เสมอ ให้อภัยและไม่ติดใจจดจำ ที่บ้านมีบรรยากาศแห่งความสบายๆ ไม่เครียด เด็กๆไม่ต้องมีชีวิตอยู่กับความกลัว ความหวาดระแวงว่า เมื่อไรพ่อแม่เขาจะมาระเบิดอารมณ์เอากับพวกเขาอีกคล้ายชีวิตที่เดินอยู่บน เส้นด้าย ไม่รู้ว่า เมื่อไรจะขาดลงมา

 

* การมองคุณภาพของครอบครัวในแง่มุมของพระพุทธศาสนา

 

เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นข้อคิดเห็นจากทางด้านจิตวิทยา ที่มองลักษณะของครอบครัวที่มีคุณภาพ

 

แต่ในส่วนที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นการมองคุณภาพของครอบครัวในแง่มุมของพระศาสนา โดยพระพรหมคุณาภรณ์ ในหนังสือ คู่มือชีวิต ท่านได้กล่าวไว้ว่า ในฐานะของชาวพุทธ คุณภาพชีวิตของครอบครัวที่มีความสุขควรจะประกอบด้วย สิ่งต่อไปนี้คือ

 

* ทางด้านสุขภาพร่างกาย คือ การไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียน มีความแข็งแรง อายุยืน สมาชิก

 

ในครอบครัวจะมีร่างกายที่ไม่เจ็บป่วยและมีความเป็น สัพปายะ คือ ความสบายพอสมควร ความสบายในที่นี้ท่านแยกออกเป็น - ความสบายทางด้านอุตุ คือ สิ่งแวดล้อม ดินฟ้าอากาศ ไม่ก่อให้เกิดมลพิษจนมากเกินไป

 

- ความสบายทางด้านอาหาร คือ มีอาหารพอเพียง ไม่ขาดแคลน

 

- ความสบายทางด้านอาวาส คือ ที่อยู่อาศัย มีความมั่นคง ไม่เดือดร้อนในเรื่องที่อยู่ของครอบครัว

 

คือ มีบ้านที่จะพักอาศัยได้อย่างมั่นคง

 

- บุคคลสบาย หมายถึง คนที่อยู่ด้วยเป็นคนที่ถูกอัธยาศัยกัน ไม่เบียดเบียนกันด้วยพฤติกรรมและ

 

คำพูด มีจิตใจดี ไม่สร้างความเดือดร้อน วุ่นวายให้แก่กันและมีเมตตาต่อกัน

 

- อิริยาบถสบาย คือ สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างไม่ติดขัดจะนั่งยืนเดินนอน ก็สามารถ

 

เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

 

- โคจรสบาย คือมีแหล่งที่จะไปแสวงหา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือความสะดวกอื่นๆ ได้ง่าย ไม่

 

ลำบาก คืออยู่ในละแวกชุมชน ไม่โดดเดี่ยว

 

- สวนะสบาย คือ สามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลได้อย่างไม่ลำบากและข้อมูล ก็เป็นข้อมูลที่

 

สร้างสรรค์ ก่อให้เกิดปัญญา เมื่อได้สดับฟัง ได้มีโอกาสสนทนาและเปลี่ยนข่าวสารกับผู้ที่มีปัญญา เป็นผู้รู้ผดุงจิตใจ เอื้อต่อการพัฒนาจิต

 

กล่าวโดยย่อ ในข้อหนึ่งนี้ คุณภาพชีวิตของครอบครัวในมุมมองของพระพุทธศาสนา โดยพระพรหม

 

คุณาภรณ์ ก็คือ คุณภาพทางด้านวัตถุ หรือปัจจัยพื้นฐานของชีวิต อันได้แก่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรง จะเห็นได้ว่าในเรื่องปัจจัยสี่พื้นฐานเหล่านี้ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวทุกคน ครอบครัวจะมีความสุขไม่ได้ ถ้าขาดองค์ประกอบที่เป็นความต้องการพื้นฐานของชีวิตเหล่านี้เสียก่อน

 

ความอดอยากหิวโหย หากไร้ที่อยู่ หรือขาดแคลนทางด้านปัจจัยดำรงชีวิต ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการ ยังใช้ชีวิตให้ยืนยาวต่อไป ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ครอบครัวต้องมีเสียก่อนและเมื่อมีปัจจัย เหล่านี้แล้ว องค์ประกอบทางด้านอื่นที่จำเป็นจึงจะตามมา

 

* การมีอาชีพที่สุจริต เมื่อมีด้านปัจจัยสี่แล้ว ขั้นต่อไปคือการมีอาชีพที่สุจริตที่จะนำมาซึ่งทรัพย์สิน

 

เงินทองที่พอเพียงในการใช้จ่ายของครอบครัวการมีอาชีพสุจริต การมีอาชีพสุจริต การพึ่งพาตัวเองได้ทางด้านเศรษฐกิจ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวอยู่ได้โดยไม่ลำบาก ท่านกล่าวว่า การดำเนินชีวิตที่สุจริต ไม่ผิดกฎหมาย ก็จัดเป็นคุณภาพชีวิตของครอบครัวได้ประการหนึ่ง เพราะการมีกินมีใช้พอเพียงสำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัวก็เป็นสิ่งจำเป็น คนเราทุกวันนี้ยุ่งอยู่กับเรื่องของการทำมาหากินกันถ้วนหน้า สมาชิกทุกคนในครอบครัวก็จะมีงานการทำกัน ที่ยังไม่ทำงานก็วุ่นอยู่กับการเล่าเรียนเพื่อจะจบออกไปประกอบอาชีพในอนาคต ดังนั้นจะเห็นว่า การมีอาชีพที่เป็นหลักแหล่งมั่นคงจึงจัดเป็นคุณภาพชีวิตที่สำคัญของครอบครัว อีกข้อหนึ่ง

 

* การมีสถานะทางสังคม เป็นที่ยอมรับนับถือ มียศ มีตำแหน่งบริวาร มีผู้คนยกย่อง หรือมีฐานะทาง

 

สังคมที่เป็นที่รู้จัก ย่อมทำให้บุคคลรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า เกิดความอิ่มเอมใจสมาชิกในครอบครัวที่มีผู้นิยมนับถือจะทำให้คนในครอบครัว รู้สึกภูมิใจในครอบครัวของตน โดยเฉพาะถ้าพ่อแม่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นที่ยกย่องจากสังคม ก็จะทำให้ลูกๆพลอยภูมิใจในความเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวด้วยเช่นกัน

 

* การมีครอบครัวที่อบอุ่นผาสุก มีความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นสุข พี่น้องรักใคร่ปรองดองกัน ดูแล

 

เอาใจใส่กันเป็นสิ่งสุดท้ายที่แสดงถึงคุณภาพของครอบครัว ในข้อนี้ แม้จะเป็นข้อสุดท้าย แต่กลับปรากฏความสำคัญยิ่งใหญ่ เพราะเป็นเรื่องของจิตใจ เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้

 

พระพรหมคุณาภรณ์ได้กล่าวว่า ครอบครัวจะเป็นสุขได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้พ่อแม่ต้องปกครองลูก

 

ด้วยพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เมื่อรวมสี่ข้อเข้าด้วยกันแล้ว สามารถสรุปออกมาได้เป็นสองข้อ คือ ด้านความรู้สึกและด้านความรู้

 

* ด้านความรู้สึก คือพ่อแม่ต้องมี ความเมตตา ความรัก ปรารถนาดีกับลูก กรุณา คือความสงสาร

 

คิดช่วยให้พ้นทุกข์ มุทิตา ยินดีด้วยเมื่อประสบความสุข ความสำเร็จ ทั้งสามจะเป็นความรู้สึกที่ดี ทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูก รวมถึงสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัวมีความรัก ความอบอุ่น ร่าเริงแจ่มใส เป็นสุข นี้เป็นด้านความรู้สึก

 

* ด้านความรู้ พ่อแม่จะต้องมีความรู้คือรู้จักใช้ปัญญา คือ คนเราอยู่กับธรรมชาติ เราทุกคนเป็น

 

ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ จึงต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ไม่เข้าใครออกใคร พ่อแม่จะใช้ความรู้สึกไปรักลูกอย่างไร ก็จะทำเกินกฎธรรมชาติไปไม่ได้ ด้านนี้แหละถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจ รุกล้ำเข้าไปจะทำให้เสียแก่ตัวลูกเอง

 

ดังนั้น การวางอุเบกขาจึงจำเป็นสำหรับพ่อแม่ทุกคน จะต้องวางใจให้ถูกว่า เมื่อไรควรจะเข้าไป

 

เกี่ยวข้องและเมื่อไรควรปล่อยให้ลูกดูแลตัวเอง

 

การ ทำให้ครอบครัวมีคุณภาพนั้น พ่อแม่จะต้องส่งเสริมความรู้สึกที่ดี ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีงาม รัก ให้คำปรึกษา ความอบอุ่น เป็นมิตรกับลูก อ่อนโยนและมีจิตใจดีและในขณะเดียวกันก็ต้องรักลูกอย่างมีปัญญาด้วย ไม่ใช่รักจากความรู้สึกของตนฝ่ายเดียว การรักลูกแบบมีปัญญาคือ จะต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของเขา ด้านที่เป็นธรรมชาติของชีวิตที่ลูกจะต้องพัฒนาอยู่กับความเป็นจริงของสังคม

 

เริ่มตั้งแต่ดูแลในเรื่องของการกินอยู่ทางร่างกายของเขาที่จะต้องเจริญต่อไป และเตรียมพร้อมที่จะให้เขารับผิดชอบกับตนเองในอนาคต ไม่ควบคุมหรือปล่อยปละละเลยตามใจมากเกินไปจนขาดความพอดี ดังนั้น พ่อแม่จะต้องเลี้ยงลูกโดยใช้ปัญญาประสานกับอารมณ์ คือ เอาความรู้มาประสานให้สมดุลกับความรู้สึก

 

นอกจากนี้ ครอบครัวต้อง เป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์คือ พ่อแม่กับลูก โดยพ่อแม่

 

จะต้องเป็นผู้นำ ด้านความรู้สึกและทัศนคติที่ดีงาม ลูกๆจะต้องสร้างความรู้สึกของความเป็นพี่เป็นน้อง มีเมตตา คอยช่วยเหลือดูแลกัน ความรู้สึกของความเป็นพี่เป็นน้องกันนี้ จะอยู่เหนือความรู้สึกทางเพศของหญิง ชาย จะมีความเคารพในกันและกันระหว่างคนทั้งสองเพศ และเมื่อเด็กๆ เหล่านี้เติบโตอยู่ในสังคม เขาก็จะมีความเกี่ยวพันกับเพื่อนมนุษย์ในสังคมอย่างเหมาะควร มีความเป็นภราดรภาพกับทุกชีวิตที่เกิดมาร่วมสังคมกัน และรู้จักการมีเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขากับชีวิตผู้อื่นและชีวิตตัวเอง ก่อให้เกิดสันติสุขในสังคมที่เขามีส่วนร่วมในที่สุด จะเห็นว่าครอบครัวที่มีคุณภาพของทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกมีความใกล้เคียง กัน ในแง่ของตะวันตกหรือทางจิตวิทยา จะเน้นเฉพาะในส่วนที่เป็นความสัมพันธ์ทางจิตใจมากกว่า ความต้องการทางด้านอื่นๆ เช่น วัตถุหรือปัจจัย 4

 

แต่เมื่อมาพิจารณาถึงคุณภาพครอบครัวตามแนวพุทธศาสนาแล้วจะเห็นว่า ท่านได้พูดครอบคลุมถึงทุกจุดที่จะมีผลกระทบต่อสุขของคนในครอบครัว ตั้งแต่การมีปัจจัย 4 ความต้องการด้านพื้นฐานไปจนถึงทางด้านสังคม เศรษฐกิจที่จำเป็นและท้ายที่สุดก็คือ เน้นเข้าสู่เป้าหมายหลักก็คือการเลี้ยงดูของพ่อแม่ เพราะท่านเห็นแล้วว่า ทุกข์สุขของครอบครัวจะขึ้นอยู่กับบุคคลสองคนคือพ่อและแม่ ที่จะปั้นแต่งลูกให้ออกมามีลักษณะหน้าตา บุคลิกอย่างไร รวมทั้งความสุขและทุกข์ของทุกชีวิตในครอบครัว ก็ล้วนขึ้นอยู่กับการวางตัวของพ่อแม่ในครอบครัวนั้นทั้งสิ้น

 

สุดท้ายจะขอสรุปด้วยข้อคิดสั้นๆว่า ครอบ ครัวคุณภาพไม่ใช่ครอบครัว “ เพอร์เฟค” ไม่มีใครในโลกที่มีครอบครัว “ เพอร์เฟค” ทุกครอบครัวล้วนมีจุดเด่นจุดอ่อนในตนเอง แต่ครอบครัวคุณภาพ จะมีการปฏิบัติตัวของพ่อแม่ลูกที่ต่างออกไปจากครอบครัวไม่มีคุณภาพ ซึ่งสมาชิกจะรู้อย่างชัดเจนว่า ครอบครัวที่เขาเกิดมานี้มีคุณภาพหรือไม่ การได้อ่านข้อคิดจากผู้อื่นๆ อาจจะทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ในครอบครัวของเรายังมีส่วนใดที่ยังต้องแก้ไขปรับปรุงเพื่อเป็นครอบครัวที่มี คุณภาพเพิ่มขึ้น

 

นอกจากนี้การยอมรับในสิ่งที่บกพร่อง การพยายามช่วยแก้ไขประคับประคองกันของสมาชิกในครอบครัว

 

ก็น่าจะเป็นสัญญาณบ่งบอกที่ดีว่าครอบครัวของเรากำลังพัฒนาไปสู่ ความเป็นครอบครัวที่มีคุณภาพในอนาคตอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

ที่มา : จากหนังสือ “ จิตวิทยาชีวิตครอบครัว” โดย ดร.นวลศิริ เปาโรหิตย์ หน้า 247-257

Link to comment
Share on other sites

ครอบครัวคืออะไร

ครอบครัวเป็น "กลุ่มบุคคลที่มีความผูกพันกันทางอารมณ์และจิตใจ มีการดำเนินชีวิตร่วมกัน รวมทั้งมีการพึ่งพิงกันทางสังคมและเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กันทางกฎหมาย หรือทางสายโลหิตครอบครัวเป็นหน่วยพื้นฐานแห่งการแลกเปลี่ยน สิ่งสำคัญที่แลกเปลี่ยนกันก็คือ ความรัก โดยเริ่มต้นจากพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ให้ และลูกซึ่งเป็นผู้รับในระยะแรก ถ้าการแลกเปลี่ยนความรักเป็นไปในบรรยากาศที่พึงพอใจ มีทั้งการไว้วางใจบุคคลในครอบครัวเอื้ออาทรต่อกันและพร้อมจะเสียสละให้แก่กันถ้าสิ่ง

เหล่านี้ดำเนินไปอย่างไม่เหมาะสม ก็จะเกิดความรู้สึกทุกข์ใจ คับข้องใจ ความขมขื่น และความเกลียดชังเกิดขึ้น ความรู้สึกทางลบที่เกิดขึ้นในครอบครัว จะมีความรุนแรงยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นในสังคมหน่วยอื่นปัญหาเกิดจากความต้องการไม่เป็นไ

ปตามความคาดหวังความคาดหวังของผู้หญิงไทย และผู้ชายไทยผู้หญิงไทยผู้หญิงไทยมีความคาดหวังสูงมากจากผู้ชาย หวังให้เขาเป็นทุกๆ อย่างแทนทุกๆคนในชีวิต ขอให้รักฉันนิรันดรหวังจะได้ฝากฝังชีวิต หวังจะได้ผู้นำชีวิตตลอดการ หวังจะได้ที่พึ่งทางร่างกายและจิตใจหวังจะได้มีคนไว้ให้ปรนนิบัติ โดยที่ไม่ได้เตรียมที่จะรับความผิดหวัง ผู้หญิงมองชีวิตแต่งงาน แต่ในด้านของความสุขมอบหมายและยอมจำนน ให้อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือฝ่ายชาย ยึดติดที่เดิม ไม่ได้เตรียมการแก้ไขเหตุการณ์ในวันหนึ่งเมื่อผู้ชายเปลี่ยนไป พร้อมจะให้อภัย พร้อมจะตั้งต้นใหม่ให้เหมือนเดิม ไม่พร้อมจะเป็นตัวของตัวเองและไม่พร้อมจะกำหนดชีวิตด้วยตัวเอง ปฏิเสธอำนาจในตัวเอง ชอบที่จะเป็นคนอ่อนแอและแสดงความอ่อนแอผู้ชายไทยแรกเริ่มรับปาก รับคำมั่นสัญญา นานไปมีการยืดหยุ่นกว่า สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง ได้มากกว่า แต่ยังคาดหวังจะให้ผู้หญิงเหมือนเดิมไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงของผู้หญิงได้ นั่นคือ ยังคาดหวังว่าเมียจะยังเป็นทาสในเรือนเบี้ยต่อไป คาดหวังว่าภรรยาจะเป็นผู้ช่วยเหลือในการทำมาหากิน แต่ไม่ให้เครดิตไม่ให้เกียรติ คาดหวังจะได้ผู้หญิงพรหมจารี ไม่มีปากมีเสียง เป็นผู้ตาม มีหน้าที่เลี้ยงดูลูก ๆ ผู้หญิงแต่งงานแล้วไม่ควรแบ่งหันใจให้ชายอื่น คิดถึงชายอื่น และไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร เธอทนได้รับได้ เป็นต้น

ความคาดหวังของลูกลูกๆ ยอมรับบทบาทของพ่อ ในฐานะเป็นพ่อ เป็นผู้นำครอบครัว เป็นคนหาเงิน จุนเจือครอบครัว เป็นผู้ปกป้องคุ้มครอง ไม่ค่อยอยู่บ้านเป็นธรรมดา พ่อไปเที่ยวนอกบ้านเพราะพ่อเป็นชาย พ่อมีหญิงอื่น เพราะแม่อ่อนแอ/พูดมาก แต่ลูก ๆจะเห็นและยอมรับบทบาทของแม่ว่าเป็นผู้ที่รับใช้ดูแลทุก ๆ คนในบ้าน และมีชายอื่นไม่ได้ เป็นคนดูแลในบ้านทำอาหารให้พ่อและลูก ๆ อยากเห็นแม่ ทุกครั้งที่เข้าบ้าน แม่น่าเบื่อกว่าพ่อเป็นต้น เมื่อสิ่งที่คาดหวังไม่เป็นไป ตามความคาดหวังก็จะเกิดปัญหา ฉะนั้นครอบครัวควรจะเข้าใจความคาดหวังของคนในครอบครัวด้วยข้อแนะนำสำหรับการดำเนินชี

วิตให้ครอบครัวมีความสุขก่อนแต่งงาน

1. ทั้งหญิงชาย ควรมีความพร้อม ทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีการเตรียมตัวและแสวงหาข้อแนะนำในการใช้ชีวิตคู่ ตลอดจนการวางแผนครอบครัว

2. มีการพูดคุยกันถึงความคาดหวังในกันและกัน มีการแบ่งงานกันทำว่าส่วนไหนใครทำ และส่วนไหนทำด้วยกัน

3.ให้การยอมรับ และเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของกันและกัน ตระหนักในสิทธิของตนเองทั้งหญิงและชาย

4. มีการยอมรับ และเตรียมตัวกับความเปลี่ยนแปลงของคู่สมรสและของตนเอง และเผชิญด้วยใจที่เป็นธรรม ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการของการเจริญเติบโต

การใช้ชีวิตคู่

1. ต้องฝึกทักษะในการติดต่อสื่อสารพูดคุยให้เข้าใจ การเรียนรู้ที่จะใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

2. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้มีความเมตตาและรู้จักอภัย ให้กันเป็นอันดับแรก

3. ทั้งสองฝ่ายต้องยึดมั่นในความซื่อสัตย์ในศีลธรรม และในสัจจะที่ให้ไว้ต่อกัน 4.ทำหน้าที่และความรับผิดชอบบทบาทของตนให้ดีที่สุด ในทุกสถานการณ

์5. ให้การอบรมสั่งสอนลูกร่วมกัน ให้ตระหนักในบทบาทที่ทัดเทียมกันระหว่างหญิงชายสอนลูกผู้ชายไม่ให้

เอาเปรียบทางเพศ สอนลูกชายและลูกผู้หญิงให้ดูแลสุขภาพอนามัยให้ปลอดภัย ให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์และเพศศึกษา

6. เมื่อมีปัญหาครอบครัว หรือปัญหาความเครียด ควรแสวงหาความช่วยเหลือทันทีมีแหล่งข้อมูลทางภาคเอกชน และราชการให้ในยามฉุกเฉินการสื่อสารในครอบครัวอาศัยการสื่อสารที่เปิดเผย ต่อกัน จะช่วยให้เกิดความเข้าใจกัน และนำไปสู่การเพิ่มความรัก ความผูกพันที่มีต่อกันในมุมกลับกันการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนก็จะได้รับการตอบสนองที่ไม

่เป็นไปตามความประสงค์ นำไปสู่ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันและกัน และนำไปสู่ความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อย ๆ การสื่อสารในครอบครัวแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน

1. แสดงความต้องการเปิดเผยสื่อสาร สิ่งที่ต้องการอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจนเป็นรูปธรรม เช่น ฉันอยากให้เธอเอาเสื้อผ้า ใส่ตะกร้า พี่อยากให้นิดช่วยรับลูกแทนหน่อยเป็นต้น

2. ถามความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่าย แสดงให้เห็นว่าเราคำนึงถึงความ รู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น เธอว่าไงไม่ทราบว่า นิดลำบากไหม

3.แสดงความขอบคุณ เมื่อเขาตอบสนอง เมื่อเขาตอบตกลงก็แสดงความชื่นชมให้เขาเห็น เช่น ยอดเลยค่ะ ขอบคุณดีจังที่นิดช่วย

เมื่อคู่สมรสมีความคิดเห็น หรือความต้องการไม่ตรงกัน จะแก้ไขอย่างไร

1. บอกความรู้สึก และปัญหาที่คิดเห็นหรือต้องการไม่ตรงกัน

2. แสดงความรู้สึกอย่างจริงใจแทนที่จะเอาชนะด้วยเหตุผลแทน เช่น เค้ารู้สึก น้อยใจที่ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยมีเวลาว่างให้เลย แสดงความต้องการอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ชัดเจนเป็นรูปธรรมเช่นผมขอไม่ไปงานศิษย์เก่าของคุณกับเพื่อน

3.ถามความรู้สึกนึกคิดของเขา เช่น เธอว่ายังไง ไม่ทราบว่าพี่คิดอย่างไร แสดงความรู้สึกขอบคุณ เมื่อเขาตอบสนอง เช่น ดีจังที่คุณไม่ว่าอะไร

Link to comment
Share on other sites

ผมยังเป็นเป็นครอบครัวครับ แต่มีคู่ชีวิต ตอนนี้ 4 ปีเต็มผ่านไปแล้ว

 

ทำไมผมไม่อยากมีลูกกับเค้าบ้างซะทีน้า...... :unsure:

Link to comment
Share on other sites

ผมยังไม่เป็นครอบครัวครับ แต่มีคู่ชีวิต ตอนนี้ 4 ปีเต็มผ่านไปแล้ว

 

ทำไมผมไม่อยากมีลูกกับเค้าบ้างซะทีน้า...... :unsure:

Link to comment
Share on other sites

ผมยังเป็นเป็นครอบครัวครับ แต่มีคู่ชีวิต ตอนนี้ 4 ปีเต็มผ่านไปแล้ว

 

ทำไมผมไม่อยากมีลูกกับเค้าบ้างซะทีน้า...... :unsure:

 

รีบๆจะได้ทันใช้

Link to comment
Share on other sites

31 ปีผ่าน

 

พร้อม บุตรสาว 2 คน

 

นึกว่าปู่มีน้องใบเตยคนเดียว ซะอีก

Link to comment
Share on other sites

ผมมี ลูกสาว 1 คน น้องไอเดีย 1 ปี 1 เดือน

 

คอยเป็นแรงใจในขับเคลื่อนการทำงาน ให้ พ่อ กับ แม่

Link to comment
Share on other sites

รีบๆจะได้ทันใช้

รีบๆ แล้วจะมีฟามสุขมากขึ้นจร้า.....

Link to comment
Share on other sites

นึกว่าปู่มีน้องใบเตยคนเดียว ซะอีก

 

คนโต อายุ 28 แล้ว

Link to comment
Share on other sites

คนโต อายุ 28 แล้ว

 

เพื่อนที่ทำผม อายุเท่ากับคุณปู่เลยครับ...ไม่มีลูก ดูเขาเหงา ๆ

Link to comment
Share on other sites

สวัสดีครับ มารายงานตัวในห้องนี้ด้วยคน พร้อมพาน้องออมมาสวัสดีลุงๆ อาๆครับ :lol:

 

93014718.jpg

Link to comment
Share on other sites

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

Guest
Reply to this topic...

×   Pasted as rich text.   Paste as plain text instead

  Only 75 emoji are allowed.

×   Your link has been automatically embedded.   Display as a link instead

×   Your previous content has been restored.   Clear editor

×   You cannot paste images directly. Upload or insert images from URL.

Loading...

×
×
  • Create New...