Jump to content

เรื่องของยาง


Recommended Posts

ความกว้างของยางรถยนต์/ความกว้างของหน้ายางรถยนต์

 

ความเข้าใจผิด : บนแก้มยางรถยนต์จะมีการระบุขนาด ต่างๆ ของยางรถยนต์เส้นนั้นไว้อยู่เสมอ สำหรับยางรถยนต์ทั่วไปจะมีการระบุรายละเอียดที่คุ้นเคยกันตามตัวอย่าง เช่น 205/60R15

 

ตัวเลข 3 หลักแรกนี้เองที่หลายคนเข้าใจผิด โดยเข้าใจว่าเป็นความกว้างของหน้ายางรถยนต์ที่สัมผัสถนน มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ในกรณีตัวอย่างนี้ คิดว่ายางรถยนต์เส้นนี้มีหน้ากว้าง 205 มิลลิเมตร

ความเป็นจริง : ตัวเลข 3 หลักแรกนี้ เป็นความกว้างของยางรถยนต์ ไม่ใช่ความกว้างของหน้ายางรถยนต์ที่สัมผัสพื้น วิธีการตรวจสอบง่ายๆ ตัวเลข 3 หลักนี้ ก็คือ นำยางรถยนต์เส้นนั้นใส่กับกระทะล้อที่มีขนาดเหมาะ สมกันตามมาตรฐานที่วงการยางรถยนต์กำหนดและสูบลม วัดความกว้างของยางรถยนต์จากส่วนที่กว้างที่สุด ซึ่งมักจะ เป็นส่วนโค้งของแก้มยางรถยนต์ที่ป่องออกมา จากแก้มข้างหนึ่งมายังอีกข้างหนึ่ง โดยวัดรวมทุกอย่างที่กว้าง ที่สุด ถ้าบังเอิญมีตัวอักษรตัวเลขหล่อนูนออกมา ก็ ต้องวัดรวมด้วย แล้วก็จะได้ค่าความกว้างนั้นออกมา

 

ตัวเลข 3 หลักแรกที่ระบุไว้ เช่น 205 จะเป็นความกว้างของยางรถยนต์ในส่วนที่ป่องที่สุด ซึ่งเป็นแก้มยางรถยนต์ ส่วนความกว้างของหน้ายางรถยนต์จริง จะไม่มีการกำหนดไว้ และเท่าที่ทลองวัดดู ก็จะแคบว่าตัวเลขความกว้างของยางรถยนต์ที่ระบุไว้ 10-30 มิลลิเมตร

 

นั่นหมายความว่า สมมุตติยางรถยนต์ที่ระบุความกว้าง ไว้เท่ากัน แต่ต่างรุ่นต่างยี่ห้อกัน ความกว้างของยางรถยนต์ บริเวณแก้มจะต้องเท่ากัน แต่ไม่แน่ว่าความกว้างของยางรถยนต์จะต้องเท่ากัน เพราะพบว่ายางรถยนต์รุ่นสปอร์ตหรือเน้นสมรรถนะสูง จะมีความกว้างของหน้ายางรถยนต์ใก้ลเคียงกับตัวเลขความกว้างของยางรถยนต์มากกว่ายางรถยนต์รุ่นพื้นๆ สำหรับใช้งานทั่วไป

 

หากไม่เชื่อบทความนี้ ให้เอาไม้บรรทัดหรือตลับเมตรไปวัดรอยฝุ่นบนหน้ายางรถยนต์ได้เลย แล้วจะพบว่า แคบกว่าตัวเลขที่ระบุไว้มาก วัดยังไงก็ไม่เท่ากัน แต่พอเล็งๆ แถวแก้มยางรถยนต์ ก็พบว่ากว้างพอกับตัวเลข 3 หลักแรกที่ระบุไว้จริงๆ

 

 

ตัวเลขซีรีส์ ต้องคำนวนก่อน

 

ความเข้าใจผิด : จากตัวอย่าง 205/60R15 ตัวเลข 2 หลักชุดที่ 2 คือ 60 หมายถึงซีรีส์ของยางรถยนต์ หลายคนเข้าใจผิดว่า ยางรถยนต์ที่มีตัวเลขซีรีส์มาก จะต้องมีแก้มสูงกว่ายางรถยนต์ที่มีซีรีส์น้อยกว่าเสมอ

 

ความเป็นจริง : ตัวเลขซีรีส์ หมายถึง ความสูงของแก้มยางรถยนต์คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของความกว้างของยางรถยนต์ หากต้องการทราบความสูงจริงของแก้มยางรถยนต์ ก็ต้องมีการคำนวณก่อน

 

จากตัวอย่าง ยางรถยนต์เส้นนี้ มีความสูงของแก้มยางรถยนต์ เป็น 60 เปอร์เซ็นต์จากความกว้าง 205 มิลลิเมตร คำนวนโดยนำ 205 X (60/100) = 123 มิลลิเมตร

 

ถ้าไม่ผ่านการคำนวณ จะสรุปลอยๆ ไม่ได้ว่า ยางรถยนต์ซีรีส์ 65 จะมีแก้มยางรถยนต์จริงสุงกว่ายางรถยนต์ซีรีส์ 60 หากมีความกว้างของยางรถยนต์ต่างกัน

 

เช่น ยางรถยนต์ 205/60R13 มีแก้มสูง 205 X (60/100) = 123 มิลลิเมตร ส่วนยางรถยนต์ 185/65R13 มีแก้ม สูง 185 X (65/100) = 120.25 มิลลิเมตร มีแก้มจริงเตี้ยกว่าทั้งที่มีตัวเลขซีรีส์เป็น 65 มากกว่าเส้นแรกอยู่ 5 ซีรีส์

 

ถ้าจะเดาความสูงของแก้มยางรถยนต์ ก็ต้องดูตัวเลข 3 หลักแรกความกว้างของยางรถยนต์ด้วย แต่ถ้าจะให้แม่นยำก็ต้องนำไปคำนวณก่อน

 

 

 

 

ยางรถยนต์ที่ใช้กับกระทะล้อขอบใหญ่กว่า ยางรถยนต์ต้องใหญ่กว่า

 

ความเข้าใจผิด : ในกรณีที่จะเปลี่ยนล้อแม็กให้มีขาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ขึ้น ตามสไตล์ล้อแม็กวงโต+ยางรถยนต์แก้มเตี้ย เช่น ล้อเดิมขอบ 14 นิ้ว จะเปลี่ยนเปลี่ยนเป็นขอบ 16 นิ้ว หลายคนเข้าใจผิด โดยรีบสรุปว่ายางรถยนต์ที่ใช้กับกระทะล้อขอบ 16 นิ้ว ต้องมีขนาดใหญ่กว่ายางรถยนต์ 14 นิ้ว ไปมองไปอิงกับตัวเลขขอบกระทะล้อทั้งที่นั่นคือ วงในของยางรถยนต์ ไม่ใช่วงนอก

 

ความเป็นจริง : ยางรถยนต์จะมีเส้นรอบวงมากหรือมีความสูงโดยรวมเท่าไร ไม่เกี่ยวกับขนาดของกระ ทะล้อหรือเรียกกันว่าขอบกี่นิ้วนัก เพราะต้องขึ้นอยู่กับความสูงของแก้มยางรถยนต์ ซึ่งก็ขึ้นกับความกว้างและซีรีส์นั่นเอง

 

ยางรถยนต์ขอบ 17 นิ้ว ซีรีส์น้อยแก้มเตี้ยบางเฉียบ อาจจะมีเส้นรอบวงน้อยและมีความสูงโดยรวมน้อย กว่ายางรถยนต์ขอบ 14 นิ้ว ซึ่งมีซีรีส์มากและแก้มสูงก็เป็นได้

 

 

ยางรถยนต์เปอร์เซ็นต์ เมินได้เลย

 

ความเข้าใจผิด : เป็นที่เข้าใจว่า ยางรถยนต์เปอร์เซ็นต์ คือ ยางรถยนต์มือสอง คนส่วนใหญ่มองว่าเมินยางรถยนต์เปอร์ เซ็นต์ไปได้เลย เพราะคิดว่าล้วนเป็นยางรถยนต์มือสองที่ได้มาจากเจ้าของเดิมถอดทิ้งหรือถอดขายให้ร้านในราคาถูกๆ เพื่อเป็นส่วนลดในการซื้อยางรถยนต์ใหม่ ยางรถยนต์จึงน่าจะหมดสภาพแล้ว หากฝืนซื้อมาใช้งานต่อก็จะเสี่ยงต่ออันตราย

 

ความเป็นจริง : ยางรถยนต์เปอร์เซ็นต์หลายสิบเปอร์เซ็นต์ที่ขายอยู่ทั่วไป เกือบหมดสภาพแล้วจริงๆ หากใครซื้อมาใช้ก็เสี่ยงอันตราย แต่ไม่ใช่ว่าทุกเส้นจะไม่น่าสนใจ

 

เพราะในกรณีที่เป็นยางรถยนต์ซึ่งถูกเปลี่ยน เพราะเจ้าของอยากเปลี่ยนขนาดยางรถยนต์หรือล้อแม็ก ทั้งที่ยังไม่หมดสภาพ ยางรถยนต์เปอร์เซ็นต์เส้นนั้นก็ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ บางครั้งรถป้ายแดงขับออกมาจากโชว์รูมได้ไม่กี่วัน ก็เปลี่ยนยางรถยนต์เดิมออกแล้ว หรือใช้ยางรถยนต์เดิมได้ไม่กี่เดือน ก็อยากเปลี่ยนล้อแม็กวงโต+ยางรถยนต์แก้มเตี้ยตามแฟชั่น ก็อาจจะถอดยางรถยนต์ชุดเดิมขายลดราคากับทางร้านหรือประกาศขายเองเป็นยางรถยนต์เปอร์เซ็นต์

 

บางครั้งยางรถยนต์ก็ถูกเปลี่ยนออก เพราะความหวาดกลัวเกินไป ทั้งจากตัวเองหรือคำแนะนำที่ผิดๆ ว่ายางรถยนต์รถยนต์ใช้ได้แค่ 2 ปี หรือไม่เกิน 40,000 กิโลเมตร ทั้งที่ความจริงใช้ได้นานกว่านั้น ยางรถยนต์ชุดนั้นจึงยังไม่หมดสภาพแต่กลับถูกเปลี่ยนออก ซึ่งเมื่อนำออกขายเป็นยางรถยนต์เปอร์เซ็นต์ ภสพาจึงยังดีอยู่ และสามารถใช้ต่อได้อีก

 

การเลือกใช้ยางรถยนต์เปอร์เซ็นต์ หากดูอย่างละเอียด รอบคอบ และเลือกยางรถยนต์ที่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนเพราะหมด สภาพ โดยเฉพาะยางรถยนต์ที่ถูกเปลี่ยนเพราะเจ้าของเดิม อยากเปลี่ยนขนาด บางครั้งก็น่าสนใจ

 

 

เปลี่ยนยางรถยนต์ทิ้งเร็วเกินไป

 

ความเข้าใจผิด : คนส่วนใหญ่เชื่อและได้รับ คำแนะนำที่ผิดๆ ว่ายางรถยนต์รถยนต์ต้องเปลี่ยนตามระยะทางเท่านั้นเท่านี้ หรือไม่เกินกี่ปีต้องเปลี่ยนออก แม้ว่าดอกยังไม่หมด หรือยังดูดีอยู่ก็ต้องเปลี่ยนออก หลายคนเชื่อปักใจ เพราะหวาดระแวงกลัวยางรถยนต์ระเบิดแล้วอันตราย

 

ความเป็นจริง : จริงอยู่หากยางรถยนต์ระเบิดแล้วจะเสี่ยงต่ออุบัติเหตุหรือความยุ่งยาก ต้องเปลี่ยนยางรถยนต์กลางทาง แต่การใช้อะไรแล้วเปลี่ยนทิ้งทั้งที่ยังไม่หมดสภาพ เสียดายทั้งเงินทั้งทรัพยากรของโลกที่ต้องเสียไปด้วยความหวาดระแวง

 

ผู้ผลิตยางรถยนต์ส่วนใหญ่ แม้ว่าอยากจะขายยางรถยนต์เส้นใหม่เร็วๆ ก็ยังไม่เคยมีคำแนะนำให้เปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อครบ 3 ปี หรือเมื่อเกิน 50,000 กิโลเมตรหรือต่ำกว่านั้นเลย มีแต่การแนะนำว่า สามารถใช้งานได้จนดอกจะสึกถึงสัญลักษณ์ที่จุดลึกสุดของร่องยางรถยนต์ และถ้าดอกยังไม่หมด หากดูแล้วไม่มีการแตกร้าวปริบวม ก็สามารถใช้ต่อได้จนดอกสึกถึงระยะข้างต้น โดยไม่จำกัดปีที่ใช้

 

ค้นหาทั้งจากเอกสารหรือถามจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของผู้ผลิตยางรถยนต์โดยตรง ก็บอกอย่างนี้ทั้งนั้น พอถามแบบกลางๆ ว่า งั้นของคำตอบที่คนทั่วไปอยากทราบได้ไหม เขาก็บอกว่า 3 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร หากดอกยังไม่หมด ยางรถยนต์ส่วนใหญ่ (หากยางรถยนต์เส้นนั้นไม่ได้ใช้งานหนักบนทางวิบาก หรือได้รับการกระแทกบ่อย) น่าจะยังไม่หมดสภาพ และน่าจะใช้ได้อีกไม่น้อยกว่า 1-2 ปีขึ้นไป หรืออีกหลาย หมื่นกิโลเมตร และพอถามย้ำอีก เขาก็บอกว่า ประ มาณว่าถ้าดอกไม่หมดยางรถยนต์น่าจะใช้ได้เกิน 60,000 กิโลเมตรหรือแถวๆ 5 ปีได้สบาย และก็บอกทิ้งท้ายว่า ถ้าดอกไม่หมด และดูสภาพแล้วยังปกติ ก็ยังใช้ต่อได้อีก

 

ขนาดฝ่ายผู้ผลิตที่อยากขายยางรถยนต์ใหม่ให้ได้มากๆ ยังมีคำแนะนำให้ใช้งานได้นานกว่าความเชื่อของคนทั่วไป ดังนั้นก่อนที่จะเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ ก็ควรแน่ใจว่ายางรถยนต์เส้นเดิมหมดสภาพและไม่น่าเสี่ยงใช้งานต่อแล้ว ไม่ใช่เปลี่ยนเพราะความหวาดระแวง ทั้งที่เพิ่งผ่านการใช้งานเกินครึ่งมาไม่เท่าไร

 

 

 

ยางรถยนต์เก่าเก็บไม่น่าสน

 

ความเข้าใจผิด : เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ยางรถยนต์รถยนต์ที่ถูกเก็บสต็อกไว้ สามารถหมดสภาพได้ แม้จะยังไม่เคยใช้งานก็ตาม แต่ตัวเลขจำนวนเดือนปีที่จะถือว่าไม่น่าซื้อใช้ของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนตั้งใจว่า ผลิตเกิน 3 เดือนจะไม่ซื้อ บางคน 6 เดือน หรือบางคน 1 ปีกว่าๆ ยังรับได้ ความเข้าใจผิดก็คือ คนที่หวาดระแวงเกินเหตุ เก็บเกิน 3-6 เดือนไม่เอาแล้ว ทำเป็นว่ายางรถยนต์รถยนต์จะเน่าง่ายๆ แบบขนมเค้กหรือต้องรอของที่อบเสร็จกันหน้าเตาเลย

 

ความเป็นจริง : ข้อมูลจากผู้ผลิตยางรถยนต์ หากเก็บโดยไม่โดนความร้อนจัดเย็นจัด ไม่ถูกสารเคมี และจัดวางอย่างเหมาะสม จะสามารถเก็บ สต็อกได้นานถึงกว่า 5 ปีก็ยังมี โดยไม่เสื่อมสภาพ สามารถนำมาใช้งานได้

 

ส่วนที่ตั้งแง่ว่าเกิน 3-6 เดือนจะไม่ซื้อ สงสัยต้องตระเวนหากันเหนื่อย ถ้ามีคนเข้าใจผิดกันมากๆ สงสัยอีกหน่อยต้องเหนื่อยไปดักซื้อหน้าโรงงานกันเลย ผลิตมาเก็บไว้ หากขายไม่ดี เกิน 6 เดือนแล้วจะขายไม่ออก

 

ถ้าคิดว่าคำแนะนำนั้นเป็นเพราะกลัวขายยางรถยนต์เก่าเก็บไม่ได้ ก็ย้อนไปอ่านกรณีที่แนะนำอายุการใช้งานของยางรถยนต์ ก็ยาวนานเช่นเดียวกัน ในฐานะของผู้บริโภคลดลงมาเหลือ 3 ปีก็คงรับได้ จึงสรุปว่า ยางรถยนต์ที่ถูกเก็บไว้ไม่เกิน 3 ปี ยังสามารถซื้อมาใช้งานได้ตามปกติโดยไม่ต้องกังวลอะไร หรือถ้ายังกลัว ก็สักไม่เกิน 2 ปียังรับได้ แต่ถ้าวิตกจริต เก็บมาแถวๆ ไม่เกิน 1 ปี หรือเกินเล็กน้อย ก็คงสบายใจได้ ยางรถยนต์ดอกหมดลื่น

 

ความเข้าใจผิด : ยางรถยนต์ดอกหมดหรือยางรถยนต์หัวโล้น จะลื่น นึกไปถึงหัวคนว่าโล้นแล้วต้องลื่น ถ้าจะให้ถูกต้อง ต้องบอกว่าลื่นบนถนนเปียก แต่บนถนนแห้งจะเกาะถนนดีกว่าบางมีดอกลึก

 

ความเป็นจริง : ยางรถยนต์เกาะถนนได้โดยหน้าสัมผัสซึ่งทำหน้าที่เป็นเฟืองยางรถยนต์ขนาดจิ๋วถี่ๆ ผังลงไปบนพื้นถนน ยิ่งมีหน้าสัมผัสมากก็ยิ่งมีเฟืองมาก เกาะถนนได้ดี ส่วนร่องยางรถยนต์ที่มีนั้นเตรียมไว้ให้รีดน้ำออกจากหน้าสัมผัสของยางรถยนต์ หรือให้น้ำแทรกตัวเข้าไปอยู่ชั่วคราวได้

 

ร่องยางรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นทรงตัว U แต่เป็น กึ่งตัว V ปากร่องกว้างกว่า ยอดของแท่งดอกยางรถยนต์จึงแคบกว่า เมื่อยางรถยนต์สึกลงไปร่องตื้นหรือเกือบหมด หน้าสัมผัสยางรถยนต์จึงมีมากที่สุด เพราะฐานของแท่งดอกยางรถยนต์กว้างกว่าตอนที่ยังไม่สึกมาก หากเนื้อยางรถยนต์ยังไม่แข็งมาก ยางรถยนต์ที่ดอกเกือบหมดหรือหมด แต่ยัง ไม่ทะลุ จะเกาะถนนแห้งได้ดีกว่ายางรถยนต์มีดอกมีร่องลึก เพราะเรื่องพื้นที่ของหน้าสัมผัสที่แตกต่างกัน แต่จะลื่นกว่าเมื่อเจอถนนเปียก เพราะไม่มีร่องยางรถยนต์ช่วยรีดน้ำ หน้ายางรถยนต์จะมีชั้นฟิล์มของน้ำคั่นอยู่ จะสัมผัสถนนไม่เต็มที่

 

ดังนั้นถ้าจะบอกว่ายางรถยนต์หัวโล้นขับแล้วลื่น ต้องระบุด้วยว่าบนถนนแห้งหรือเปียก

Link to comment
Share on other sites

เป็นข้อมูลที่ดีครับ

 

เคยเจอที่บ้านเก่านานละ

 

แต่ตอนนั้นเค้าโฆษณาเยอะไปนิด น่าจะเป็นที่ต้นฉบับนะครับ

 

(ไม่ใช่คุณต้องโฆษณานะคร้าบบ กลัวเข้าใจผิด ^^*)

Link to comment
Share on other sites

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

Guest
Reply to this topic...

×   Pasted as rich text.   Paste as plain text instead

  Only 75 emoji are allowed.

×   Your link has been automatically embedded.   Display as a link instead

×   Your previous content has been restored.   Clear editor

×   You cannot paste images directly. Upload or insert images from URL.

Loading...
×
×
  • Create New...