Endless

รถเดิมๆไม่ได้ติดแก๊สครับ กระทู้เก่า http://www.civicclubthailand.com/board/index.php/topic/13055-ท่อน้ำ-จุดเล็กๆที่เราอาจจะมอ/?fromsearch=1 เนื่องจากของผมเป็น mt เลยไม่มีท่อไปที่ ATF (ท่อเบอร์ 1,2) เห็นข้างบนราคาไม่แรง เปลี่ยนยกชุดเลยดีกว่าครับ (ท่อยาง 1,2,4,5,7)

ของเคสผมที่เปลี่ยนไปตอนราวๆ 200,000 โล เพราะมันรั่วครับ เส้นแรกที่เป็นคือเส้นที่ต่อจากลิ้นปีกผีเสื้อกลับเข้าวาล์วน้ำ (เส้นที่งอเป็นขั้นบันได) อาการคือ ปริแตกมีน้ำซึมออกมา ต่อมาไม่นานเส้นใต้กรองอากาศรั่ว อันนี้พุ่งเลย ก้เลยเปลี่ยนยกชุดไป ผมว่าอายุการใช้งานมันน่าจะพอๆกัน ถ้าเปลี่ยนก้อยกชุดดีกว่าครับทำทีเดียว สังเกตจากเส้นหน้าเครื่องก้ได้ถ้าดูท่าไม่ดีก้เปลี่ยนไปเลยครับ ส่วนถ้าเปลี่ยนผมเลือกของ 0 ครับเพราะ 1.รถผมไม่ได้แต่งจัดขนาดที่แรงดันเยอะมาก ใช้งานทั่วๆไปของ 0 ก้เพียงพอครับ 2.คุณภาพสูงกว่า มาด้วยราคาเช่นเดียวกัน และผมกลัวเจอของก้อป ว่าแต่น้ำยาหล่อเย็นของ FD เดิมมันสีฟ้านะครับ ถ้าจำไม่ผิดสีเขียวมันของตัวรุ่นก่อนๆ แต่ผมไม่ทราบความแตกต่างของคุณสมบัตินะครับ ไม่ได้ถามช่างซะที ยังไงลองเช้คและถ้ามีข้อมูลฝากแชร์กับเพื่อนๆด้วยนะครับ ^^

ถ้าเคยใช้ 002 แล้วดังรับได้ ก็ใช้ 002 จะได้หนึบ+ดังรับได้ แต่ถ้าว่ามันดังไป ก็ใช้ gr100 ได้นุ่มเงียบ หนึบแต่คงไม่เท่า 002

น้ำหนักจานที่มากขึ้นจะทำให้ 1.พวงมาลัยหนักขึ้น >> ซักพักก็ชินไปเอง 2.ออกตัวอืดขึ้น >> ซักพักก็ชินไปเอง เพราะจะกดมากขึ้น 3.เบรคดีขึ้น สุดท้ายก็ชินไปเองครับ ^^

ความหนาน้อยสุดจะสลักอยู่บนสันจานเบรคนะครับ (Min THK) รู้สึกว่าถ้าจำไม่ผิดของ 1.8 เดิมๆ จะ 18mm

เสริมอีกนิดครับว่า ลองศึกษาเงื่อนไขการทำงานของ ECU เดิมๆครับว่า การเปลี่ยนแปลงใดๆจะส่งผลกระทบกับอะไรต่อไปบ้าง ทุกอย่างมีผลกระทบต่อกันครับ แค่อุณหภูมิอย่างเดียวก็ส่งผลมากกว่าที่คิดครับ สิ่งที่บอกว่าดีกับรถแบบนี้อาจจะดีหรือไม่ดีกับรถอีกแบบก็ได้ คงต้องดูว่ารถ standard เดิมๆของเราแบบไหนเหมาะที่สุด ส่วนถ้ารถมีการโมฯมาแล้วลองดูว่าเค้าโมอะไรมาบ้าง และทำไมเค้าถึงต้องเปลี่ยนอันอื่นตามมาด้วย ทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัว ไม่มีอะไรดีที่สุดสำหรับทุกอย่างเสมอ มีคนสอนผมไว้เป็นเครื่ิงเตือนใจเวลาแต่งรถครับว่า คนมี 3 พวก พวกรู้แท้ ตัดสินใจใช้เหตุผล >ไม่พัง พวกไม่รู้ ไม่กล้าทำ >ไม่พัง พวกรู้ครึ่งๆกลาง ใช้ความรู้สึก ไม่ได้ศึกษาข้อมูลให้ดี > ส่วนมากแย่กว่าเดิม

ทุกอย่างมีจุดที่เหมาะสม มากไปก็ไม่ดี และ "น้อยไป" ก็ใช่ว่าจะดี

ไม่ไหวอะพี่ แค่ reflex ผมยังว่ามันแข็งไปนิด ดูจากการใช้งานทุกวันนี้แล้ว เอา TR มาใช้ผมว่ามีหวังไส้เลื่อนแน่ๆเลยพี่

ผมใช้ Reflex + Eibach (เดิม โช้คเดิม+Eibach) แข็งขึ้นกว่าเดิม ความนุ่มนวลหายไปพอสมควร(โดยส่วนตัวนะครับ ^^") รู้สึกได้ถึงสภาพผิวถนนได้ค่อนข้างดี ประมาณว่าเวลาเจอผิวถนนที่เรียบแตกต่างกัน reflex จะแสดงอาการมากกว่าทำให้รู้สึกถึงความแตกต่างของผิวถนนได้ชัดเจนกว่าการใช้โชคเดิม ขับช่วงๆแรกผมรู้สึกว่าไม่ต่างจากของเดิมเท่าไร แต่พอกลับไปขับ FD ของแฟนที่เป็นช่วงล่างเดิม ล้อขอบ17 เหมือนกัน ถึงรู้ว่ามันต่างกันชัดมากขึ้น ดังนั้นคิดว่าถ้าใช้ Reflex กับสปริงเดิมก็น่าจะแข็งขึ้นครับ ตอนนี้มีแผนจะเปลี่ยนโช้คคันแฟนเหมือนกัน และแน่นอนครับว่าผมคงเลือก Excel G มาลองในคันแฟน เพื่อดูความแตกต่าง

ผมเลือก Monroe reflex เพราะ"อยากลอง"นะครับ ^^" อันไหนดีกว่าตอบไม่ได้เพราะไม่เคยใช้ Excel G

ผมคิดว่าน่าจะเป็นจากลูกปืนของลูกรอกซักตัวแตกมานานจนมันฝืดนะครับ เสียงมันดังมากเหมือนสายพานสีกับเหล็กอะครับ

ใส่ได้ แต่หุบเข้าในเยอะอะครับ

ขอบคุณครับ ^^ ถามเพิ่มเติมอีกนิดครับ ว่าผมเข้าใจถูกต้องมั้ย ว่าที่รอบปลายประมาน 6200 รอบ/นาที เส้นสีฟ้าอ่อนคือ kkt+speed up >>> แรงม้ามากสุด เส้นสีน้ำเงินทึบคือ speed up ตัวเดียวคับ >>> แรงม้ารองลงมา เส้นสีแดง คือรถเดิมๆ คับ >>> แรงม้าน้อยสุด ถ้าเราใช้รอบที่ 6200 รอบ/นาที จะเรียงประสิทธิภาพจากดีที่สุดไปหาน้อยที่สุดคือ ฟ้าอ่อน > น้ำเงิน > แดง คำถามคือ ปกติผมใช้รอบทั่วๆไปอยู่ราวๆ 3000 - 4000 รอบ ผมควรจะใช้ของเดิมมากกว่ามั้ยครับ เพราะเห็นสีแดงมากกว่าน้ำเงินตั้งแต่ต้นจนไปโดนน้ำเงินแซงแถวๆเกือบ 6000 (รถผมเกียร์ธรรมดา 3000 รอบจะอยู่ที่ 115 กม/ชม. 4000 รอบจะอยู่ที่ราวๆ 150 กม/ชม)

มีใครพอจะช่วยอธิบายกราฟนี้ ให้ได้มั้ยครับ ผมอยากรู้ว่าอ่านยังไง? อ้างอิงจากกระทู้นี้ที่ผู้ขายโพสไว้ครับ http://www.civicclubthailand.com/board/index.php/topic/16029-รับติดตั้งกล่อง-speed-up-เพิ่มแรงบิด/?p=481184 จากกราฟ เส้นสีแดง คือรถเดิมๆ คับ เส้นสีน้ำเงินทึบคือ speed up ตัวเดียวคับ เส้นสีฟ้าอ่อนคือ kkt+speed up http://pic.free.in.th/id/af20297c32e5584a2e1aad52013d310a

โช้คเดิม0 เบิก0 ต้นละราวๆ 2500-3000 ไม่รวม vat Kayaba Excel G หน้า-หลัง ราวๆ 8000 Monroe reflex หน้า-หลัง ราวๆ 10,000 ทั่งหมดราคาโช้คอย่างเดียวไม่มีสปริง ปล.ผมไม่ได้ขายนะ เผอิญพึ่งเปลี่ยนเลยทราบราคาคร่าวๆมา

โอ้ไกลมาก ^^" เรื่องสั่นเวลาขับเร็ว ลองถ่วงล้อใหม่ดูครับ แต่ถ้ายังไม่หายค่อยถ่วงจี้ ส่วนเรื่องช่วงล่างเช็คให้ชัวร์แล้วทำทีเดียวจะได้ไม่เสียหลายทีครับ

จขกท น่าจะยังสงสัยถึงหลักการทำงานของกล่องมากกว่านะครับ เพราะเดี๋ยวนี้มีสารพัดกล่อง ออกมาเต็มไปหมดเลย การที่อยากจะทราบข้อมูลเป็นเรื่องที่ดีที่น่าจะเอามาแชร์กัน ส่วนเรื่องราคาผมไม่ออกความเห็นครับ เพราะขึ้นอยู่กับความพอใจแต่ละคน

เอาไปให้อู่ที่ชำนาญช่วงล่างตรวจดูไปเลยเถอะครับ เดี๋ยวนี้สั่งของกันไว บางที่มี Delivery ถึงร้านที่เอาไปซ่อมก็มี ส่วนอู่ถ้ายังไม่มีที่ไหนในใจลองไป บางพลัดศูนย์ล้อ ครับ แต่แนะนำว่าให้ไปถึงร้าน 6.00 ครับเพื่อจองคิวเข้าทำ และเผืีอเวลาไว้เลยว่าทำทั้งวันครับ

ลูกรอกเบิก0 ประมาน 3500 อะครับ ข้างนอกน่าจะถูกกว่านี้ แต่เช็คให้ชัวร์ก่อนดีกว่าครับว่าเป็นจากตัวนี้จริงๆหรือเปล่า เพราะอย่างที่บอกก่อนหน้านี้ครับว่าเสียงมันเหมือนมอเตอร์มากกว่าเหล็กสีกัน และ0ก็ให้คำตอบผมไม่ได้บอกแต่ลูกรอกเสื่อม คลัชต์คอมแอร์ลองเทสโดยเป็นแอร์เย็นสุด เปิดไฟหน้า ไฟสูง ตัดหมอก ให้เกิดโหลดมากที่สุด แล้วดูว่าพอคอมแอร์ทำงานคลัชต์จับเป็นปกติมั้ย สังเกตจากพัดลมก็ได้ครับ พัดลมหมุนแล้วคลัชต์จับมั้ย

แยก 2 เรื่องครับ 1.เสียงวี้ด ดังตามรอบเครื่อง ของคันแฟนผมันดังวี้ดเหมือนเสียงมอเตอร์ทำงานไม่ได้ดังเหมือนเหล็กสีกัน เข้า 0เช็ค บอกว่าเป็นที่ตัวปรับลูกรอกอัตโนมัติ พึ่งเปลี่ยนมากำลังสังเกตอาการว่าหายมั้ยแต่ในเบื้องต้น 1 สัปดาห์ยังเงียบอยู่ ปล.ผมยังสงสัยอยู่ว่าทำไมเสียงที่ได้ยินมันเหมือนเสียงมอเตอร์ทำงาน แต่0 ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าทำไม 2.แอร์ไม่เย็น เช็ค 3อย่าง คลัชต์คอมแอร์ / รีเลย์คอมแอร์ / พัดลมแอร์ทำงานปกติมั้ยครับ ลองดูทีละจุดละกันครับ เอาใจช่วยให้หายไวๆครับ ^^

แยก 2 เรื่องครับ 1.เสียงวี้ด ดังตามรอบเครื่อง ของคันแฟนผมันดังวี้ดเหมือนเสียงมอเตอร์ทำงานไม่ได้ดังเหมือนเหล็กสีกัน เ

เอารูปมาฝากเพิ่มครับ Credit จำไม่ได้ละครับเก็บไว้นานละ แต่เอารูปไป search หาได้ครับ

อ่อครับ ^^ก็ว่าปกติ 0 ไม่ค่อยพลาด(โอกาส)เปลี่ยนอะไหล่ตามกำหนดให้ลูกค้า แถมบางครั้งเพิ่มนู่นนี่นั่นให้อีกตะหาก ^^

ปกติในคู่มือ FD แจ้งให้เปลี่ยนหัวเทียนทุก 100,000 โลนิครับ 0 ไม่ได้แจ้งตอน 100,000 โลเหรอครับ?

เรื่องการคำนวน ผมเห็นด้วยกับการที่ใช้วิธีคำนวนเป็น กม/ลิตร และ บาท/กม ครับ เพราะว่า 1. ลักษณะการขับขี่ไม่เหมือนกัน ขับในเมือง/ทางไกล รถติด/รถโล่ง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่ออัจราการใช้น้ำมันและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น 2. รถติด/รถวิ่ง ไม่ได้ใช้น้ำมันเท่ากันแน่ๆ ดังนั้นการแปลผลอย่างเดียวกันในสภาวะที่ต่างกันอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เพราะฉะนั้นแม้ระยะทางเท่ากันแต่ไม่ได้ใช้น้ำมันเท่ากันครับ จากสถิติข้างต้นที่ผมอ้างไว้ มาจากรถผมและสภาะการขับขี่ของผมคนเดียว เพื่อเอาไว้ใช้อ้างอิงเป็นค่า standard ของรถผมเท่านั้น โดยตลอดระยะเวลา 5 ปี ใช้รถเดือนละราวๆ 4,000 - 5,000กม คิดว่าคงจะมากพอที่ผมจะนำมาคำนวนสถิติของรถผมเองได้ โดยเอาข้อมูลเฉพาะถังที่เติมเต็มใช้ไปแล้วเติมเต็มใหม่เท่านั้น(ซึ่งเติมแบบนี้มากกว่า90%) หากมีการเติมไม่เต็มผมไม่ได้เอามาคำนวนครับ โดยเก็บข้อมูล 5 อย่างครับ 1.วันที่ 2.ปั้มที่เติม 3.ราคาน้ำมันในวันที่เติม (ข้อ2-3 เก็บข้อมูลเพราะแต่ละจังหวัดราคาน้ำมันไม่เท่ากันครับ) 4.ระยะทางที่ได้ และ5.จำนวนลิตรที่เติมเต็ม ผมเก็บข้อมูลและคำนวนเป็น กม/ลิตร เพื่อดูอัตราการสิ้นเปลืองของผมเองเป็นปกติอยู่แล้ว หากมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นแล้วทำให้กินน้ำมันขึ้นในสภาพการขับขี่เดิมๆ มันก็จะฟ้องออกมาในสถิตินี้ซึ่งก็จะเป็นตัวเตือนให้เราค้นหาสิ่งผิดปกติและสามารถแก้ไขให้กลับสู่สภาวะเดิมได้เร็วขึ้น ส่วนการเลือกใช้น้ำมันอะไรคงต้องมองดูหลายๆปัจจัย ว่าอะไรที่ตอบโจทย์ของเราได้ดีที่สุดเพราะแต่ละคนมีความต้องการและสภาวะที่ไม่เหมือนกัน เหรียญมี 2ด้านเสมอ อย่าลืมพิจารณาให้ครบทั้ง 2 ด้าน ส่วนของผมตอนนี้ขอเก็บสถิติ E20 Vs fuelsav95 ต่อก่อนเพราะว่า shell เริ่มเอา fuelsav95 ออกไปพอสมควรแล้วและยังไม่มี E85 ผมใช้ fleetcard ของ shell เพราะฉะนั้นน้ำมันที่เติมและสถิติที่มีเป็นของ shell fuelsav95 เท่านั้นครับ