Jump to content

miss prakanpai

CCTH Member
  • Posts

    16
  • Joined

  • Last visited

Posts posted by miss prakanpai

  1. ชั้น 1+ กับชั้น 2+หรือชั้น2  มันต่างกันยังไงครับ ก.พ. ปีหน้าประกันจะหมด อยากหาข้อมูลครับ ตอนนี้ประกัน 2 พลัสอยู่ครับ

     

    car-insurance1.png

    ความคุ้มครองที่คุณจะได้รับจาก ประกันภัยรถยนต์ ชั้น1

    – ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก

    – ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก

    – ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย(จ่ายสูงสุดตามทุนประกันภัย)

    – ความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย( จ่ายสูงสุดตามทุนประกันภัย )

     

     

    car-insurance2Plus.png

        ความคุ้มครองที่คุณจะได้รับจาก ประกันรถยนต์ ชั้น2พลัส

        – ความรับผิดต่อความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก

        – ความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก

        – ความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย

        – ความรับผิดต่อความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย

     

     

    ** ความแตกต่างจากประกันชั้น 1 คือ

        1. ทุนประกันคุ้มครองตัวรถต่ำกว่า ชั้น 1

        2. รับผิดชอบเฉพาะกรณีรถชนรถเท่านั้น และต้องมีคู่กรณีในที่เกิดเหตุด้วย

  2. ไฟเขียว อย่าเพิ่งรีบออกรถ

     

     

    HI8ccN.jpg

    เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ทุกครั้งที่จอดติดไฟแดงเป็นคันหน้าสุด ไม่ควรรีบออกรถทันทีที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เพราะทางฝั่งที่เพิ่งหมดไฟแดง อาจมีรถที่วิ่งข้ามผ่านเส้นสีขาวก่อนสัญญาณไฟเหลืองแต่ยังข้ามไม่พ้นทางแยกตกค้างอยู่ 

    โดยเฉพาะในแยกใหญ่ ๆ ที่ทางเดินรถกว้างมาก ถ้าหากเรารีบออกรถเร็วเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุชนกันได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย จึงควรรอให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยออกรถค่ะ

     

     Cr. ตำรวจภูธร ภาคห้า /CSR Society with Toyota

  3. 6 วิธีง่ายๆ กับการดูแลรักษารถประจำวัน

     

    ประการที่ 1

     

    ที่จะต้องตรวจก็คือ ลมยาง ตรวจง่ายๆ ด้วยสายตาว่ามันแฟบอ่อนหรือเปล่า ดูทุกเส้นนะครับ เพระถ้าลมยางของแต่ละล้อไม่เท่ากันจะมีผลต่อการทรงตัวของรถ

    ทำให้เบรกปัด, วิ่งส่าย, รถแถไปด้านหนึ่ง เป็นที่มาของการเกิดอุบัติเหตุด้วย อาจจะทำให้อายุของยางสั้นลง จึงต้องควักกระเป๋าก่อนถึงเวลาอันควรด้วยนะครับ

    เพราะฉะนั้น ถ้าพบว่าแรงดันลมไม่เท่ากันต้องตรวจเติมให้เรียบร้อย

     

    ประการที่ 2

     

    ที่ต้องตรวจนั้นคือ ตรวจดูรอยหยดรั่วของน้ำและน้ำมันต่างๆใต้ท้องรถ ซึ่งก้มดูด้วยสายตาทำได้ง่ายๆครับ ถ้าพบว่ารั่วที่ล้อและเป็นน้ำมันเบรก จะต้องงดใช้งาน

    รีบปรึกษาช่าง และเมื่อตรวจพบว่าน้ำระบายความร้อนรั่วหยดให้หาที่มาของการรั่ว ถ้าเป็นข้อต่อก็ไขควงกวดอัดให้แน่น และถ้าพบรอยรั่วของน้ำมันเครื่อง

    น้ำมันเกียร์หรือน้ำมันเฟืองท้ายก็อย่างนิ่งนอนใจ เมื่อมีเวลาจะต้องนำไปปรึกษาช่างเพื่อทำให้รอยรั่วนั้นๆหมดไป ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อกลไกดังกล่าวของรถยนต์นะ

     

    ประการที่ 3

     

    คือการดูแลน้ำระบายความร้อน วิธีดูก็ไม่ได้ยุ่งยากเลยนะ เพียงตรวจโดยการเปิดฝาหม้อน้ำออก ถ้าพบว่าน้ำพร่องน้อยลงไปก็ใช้น้ำสะอาดเติมลงไปให้เต็ม

    สำหรับรถบางคันนะครับ ลองสังเกตุดูว่าถ้ามีขวดพลาสติกที่เก็บน้ำอยู่และมีท่อเล็กๆต่อไปถึงหม้อน้ำ ก็ไม่ต้องเปิดฝาหม้อน้ำนะครับ ให้ดูระดับน้ำที่ขวดเก็บน้ำสำรองแทน

    ถ้าน้ำยังอยู่ในระดับที่กำหนดก็ไม่ต้องเติม แต่ถ้าต่ำก็ให้เปิดฝาขวดเก็บน้ำสำรอง แล้วเติมน้ำสะอาดให้เต็มนะครับ เรื่องดูแลน้ำระบายความร้อนอย่าละเลย

    เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ของท่านเสื่อมสภาพเร็วได้

     

    ประการที่ 4

     

    ดูแล ตรวจเติมระดับน้ำมันเครื่องนะครับ เพราะถ้าน้ำมันเครื่องพร่องหรือแห้งจะทำให้เกิดการสึกหรอภายในเครื่องยนต์ วิธีตรวจระดับน้ำมันเครื่องก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลย

    เพียงแต่ดึงเหล็กวัดออกมาเช็ดทำความสะอาดแล้วใส่กดลงไปยังตำแหน่งของมันให้ สุดจากนั้น ดึงออกมาตรงๆในแนวดิ่ง ระดับน้ำมันจะสักเกตได้จากรอยคราบน้ำมัน

    ที่เกาะอยู่ปลายเหล็กวัด น้ำมันจะต้องอยู่ระหว่างกลางขีดที่มีอักษร L (Low) และ F (Full) ถ้าต่ำจาก L ก็ให้เติมให้อยู่ในระดับเท่าเดิม และไม่ควรเติมจนเกินอักษร F

    เพราะจะทำให้ควันขาวจากน้ำมันเครื่องเข้ามาห้องเผาไหม้ และซคลเพลาข้อเหวี่ยงรั่วนะครับ ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อเครื่องยนต์เลย

     

    ประการที่ 5

     

    การตรวจเติมน้ำมันเบรกในกระบอกเก็บน้ำมันเบรกที่แม่ปั้มเบรก ถ้ามีระดับสูงก้ไม่ต้องเติมนะครับแต่พ้าพร่องต่ำกว่าขีดที่กำหนดให้เติมจน ได้ระดับที่ถูกต้อง

    การเติมน้ำมันเบรกมีข้อควรระวังก็คือ อย่าให้น้ำมันเบรกหกราดโดนสีรถจำทำให้สีเสียหาย และถ้าหก ห้ามเช็ดนะครับ ให้ใช้น้ำราดให้เจือจาง เพราะจะทำให้สีเสียหาย

    เป็นแผลทางยาวไปตลอดแนวที่เช็ด สำหรับน้ำมันเบรกนั้น ถ้าพร่องมากๆทุกวัน จะต้องรีบนำรถไปปรึกษาช่างนะครับ “เพราะเบรกคือชีวิต” มีชีวิตของใครบ้างหรือครับ

    ก็ชีวิตของท่าน และผู้ที่โดยสารมากับท่านรวมถึงผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนกับท่านด้วย

     

    ประการสุดท้าย

     

    การบำรุงรักษาประจำวัน คือกระบอกคลัตช์น้ำมันจะต้องมีการตรวจเติมน้ำมันให้อยู่ในระดับที่ถูกต้อง กระบอกดังกล่าวอยู่ข้างๆกระบอกน้ำมันเบรกและน้ำมันที่เติมก็คือ

    น้ำมันเบรกนั่นแหละ อย่าละเลย เพราะถ้าน้ำมันหมดจะเข้าเกียร์ไม่ได้ นั่นคือรถวิ่งไม่ได้นั่นเอง

     

    ** เพียงท่านเสียสละเวลาเพียง 15 นาทีต่อวัน หมั่นดูแลรักษาสภาพเพียงเท่านี้ รถของท่านก็จะอยู่ไปกับเราได้อีกนาน **

  4. ขอรายละเอียดการประกันภัยรถยนต์ด้วยครับ

     

    - Honda CIVIC รุ่น 1.8 S AT (AS) ออกรถปลายปี 2010

    - ประกันหมดเดือนธันวาคม (จะเริ่มปีที่ 3)

    - ไม่ระบุคนขับ และ/ระบุคนขับ 2 คน อายุ 33-36

    - ซ่อมห้าง

    - รับผิดชอบส่วนแรก ไม่มี

    - ทุนประกัน 600,000

    - ติดแก๊ส LPG

    - รวม พรบ., อากร และภาษี

    - ปีที่แล้วประกันของ กรุงเทพ

    - ขอของกรุงเทพ กับ คุ้มภัยครับ

    ขอบคุณครับ

     

    รบกวนตรวจสอบ pm ด้วยค่ะ

×
×
  • Create New...