fd_crazy

NOW
 
 
 
 

 
 

 
 

Civic FD JDM Style part 11

ฝาหน้า: ที่ด้านบนของฝาหน้า สิ่งที่เห็นแตกต่างอย่างชัดเจนที่สุดระหว่างฝาหน้า FD2R กับฝาหน้า FD บ้านเรานั้นคือ ฝาหน้าของ FD2R นั้นจะสัน 2 เส้น ที่ด้านข้างทั้งสอง วิ่งยาวจากด้านล่างของฝาถึงด้านบน ขณะที่ฝาหน้าบ้านเราเป็นฝาเรียบตลอดฝา

ที่ด้านล่างของฝาหน้า Type R นั้น จะประกอบด้วย ยางกันกระแทกโคมไฟที่มุมล่างทั้งสอง แผ่นฉนวนกันความร้อนและสติกเกอร์ 3 แผ่น คือสติกเกอร์บอกรายละเอียดเครื่องยนต์ สติกเกอร์น้ำยาแอร์ และสติกเกอร์ระบบถุงลมนิรภัย SRS

ฉนวนกันความร้อนของฝาหน้า Type R นั้นจะไม่เหมืนของบ้านเราตรงที่ จะมีรูสี่เหลี่ยมๆ 2 รู ไว้เกี่ยวกับเดือยที่ยื่นออกมาจากฝา ในขณะที่ฝาบ้านเราจะเป็นรูสี่เหลี่ยมๆ ที่ฝาแทน ส่วนที่เป็นเดือยจะอยู่แผ่นฉนวนกันความร้อน จุดแตกต่างอีกหนึ่งอยางหนึ่งคือ แผ่นฉนวนกันความร้อนของฝาหน้า Type R จะมีการขึ้นรูปเว้าหลบท่อแอร์ ตรงบริเวณใกล้ๆ กับรูเสียบไม้ค้ำด้วย และตำแหน่งที่เสียบพุกระหว่างฝาหน้าบ้านเรากับฝาหน้าType R จะไม่ตรงกันอยู่ 1 รู

สุดท้ายฝาหน้า Type R มีน้ำหนักหนักกว่าฝาหน้าบ้านเรามาก คงเป็นเพราะเหตุผลด้านความแข็งแรงและความปลอดภัย

ฝาหน้า Type R นั้น สามารถเปลี่ยนใส่แทนฝาหน้าบ้านเราได้เลย โดยที่ไม่ต้องดัดแปลง
 

 

 

 

 

 

 

 

Civic FD JDM Style part 7

ผ้าหลังคา: ผ้าหลังคา Type R นั้นเนื้อวัสดุจะเป็นผ้าค่อนข้างหนานุ่ม จะไม่เหมือนกับวัสดุ FD1.8 บ้านเราซึ่งจะเป็นเนื้อกระดาษอัด ยกเว้น FD2.0 จะเป็นเนื้อผ้าเหมือนกัน แต่ความหนาจะน้อยกว่า

ชุดผ้าหลังคา Type R ครบชุดจะมา ต้องมาพร้อมกับมือจับทั้ง 4 ด้าน บังดัด ไฟกลางเก๋งและไฟส่องแผนที่ ชุดผ้าหลังคา Type R จะมีสองสีคือ สีก่อน MC จะเป็นสีขาว นวล สว่างๆ และสี MC จะออกโทนสีเทาเข้มๆ ทั้งนี้ต้องเลือกให้เข้ากับสีเสา A B C รวมถึงชิ้นสาย belt ด้วย

ชุดผ้าหลัง Type R สามารถเปลี่ยนใส่แทนผ้าหลังคาเดิมบ้านเราได้เลย โดยที่ไม่ต้องดัดแปลงใดๆ        

อ่านเจอ VTEC เลยขอฝากเอานี่แปะไปด้วย ผมติดตามเค้ามาตลอด อธิบายง่ายๆ ชัดดี 
 
ถ้ามีเวลาลองค้นดูวีดีโอของเค้าเลคเช่อร์การทำงานของเซ็นเซอร์ทั้งหลายที่ส่งค่าระหว่างกันเพื่อจัดส่วนผสมเครื่องยนต์ ผมว่าเข้าใจง่ายดี   
 
อันนี้สำหรับคนบ้านๆแบบผมนะ สำหรับท่านๆที่เข้าใจศาสตร์ด้านนี้อาจจะเฉยๆ 
 

 

 
 

 
 

 
 

Civic FD JDM Style part 6

ชุดเรือนไมล์ Type R: ใน FD2 Type R นั้น ชุดเรือนไมล์จะเป็นสีแดง เพิ่มความเร้าใจยามขับขี่ ประกอบด้วย ไมล์บน ไมล์ล่าง และจอแอร์

ที่ชุดไมล์บน จะมีไฟบอกการทำงานของ i-Vtec และไฟ Rev-up ที่ด้านซ้าย ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของ Type R ไฟ Rev-up มีทั้งหมด 6 เม็ด จะค่อยๆ ทยอยขึ้นตามรอบเครื่องยนต์ที่เซ็ทค่าไว้ โดยเม็ดแรกเริ่มที่ 6000 รอบ

ไฟ i-Vtec จะทำงานเมื่อระบบวีเทคของรถทำงาน
- เครื่อง R18A (FD1) เทคจะทำงานเมื่อขับด้วยความเร็วคงที่ในช่วง 1000 - 3500 รอบ เป็นเทคประหยัด เปิดแล้วช่วยลด Pumping loss
- เครื่อง K20Z (FD2) เทคจะทำงานเมื่อกดคันเร่งกะทันหัน เช่น เร่งแซง หรือช่วงใช้ความเร็วสูง ตั้งแต่ 2000 รอบขึ้นไป ถ้าขับนิ่งหรือค่อยๆ กดคันเร่ง เทคจะไม่ทำงาน จุดประสงค์เพื่อแก้อืด
- เครื่อง K20A (FD2 Type R) เทคจะเริ่มทำงานรอบเครื่อง 5800 รอบ เป็นต้นไป เทคซิ่งโดยเฉพาะ

ที่ไมล์ล่าง เอกลักษณ์ที่เด่นชัดคือแผงวัดรอบ ซึ่งจะเป็นสีขาวๆ อมเทา 9000 รอบ Red line อยู่ที่ 8400 รอบ และที่สำคัญมีคำว่า Type R บนแผง

จอแอร์ตัวกรอบจะเป็นสีดำล้วน ไม่มีขลิบสีเงิน การทำงานจะมีฟังก์ชั่น FULL AUTO ซึ่งจะสามารถปรับอุณหภูมิและความชื้นภายในรถให้เหมาะสมได้ทั้งยามภายนอกตัว รถจะอากาศร้อนหรือหนาวก็ตาม
 

 

 

 

 

Civic FD JDM Style part 5

สีขาว Type R: สีรถของ FD2 Type R นั้น ออกจากโรงงานมาจะมีอยู่หลักๆ 5-6 สี คือ
1.Championship white:NH-0
2.Vivid Blue Pearl:B520P
3.Super platinum metallic:NH704M
4.Crystal black pearl:NH731P
5.Premium deep violet pearl:PB83P และ
6.Premium white pearl:NH624P

ตำนานสีขาว Championship white นั้นเริ่มขึ้นเมื่อปี 1965 เมื่อฮอนด้าได้เข้าร่วมการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง รายการ F1 World Championship โดยรถที่ใช้นั้นชื่อ The Honda RA272 ขับโดยนักขับชาวอเมริกันชื่อ ริชี่ จินเธอร์ (Richie Ginther)

ในช่วงสนามแรกๆ รถ RA272 นั้นมีปัญหามาก แข่งขันไม่จบถึง 3 สนาม (ที่โมนาโค, ฝรั่งเศส และอังกฤษ) แต่ที่เม็กซิโก จินเธอร์ สามารถขับเข้าเส้นชัยได้เป็นลำดับที่ 1 ซึ่งเป็นชัยชนะครั้งแรกและครั้งเดียวของจินเธอร์ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อแข่งขันจบฤดูกาล รถ RA272 ซึ่งขับโดยจินเธอร์นี้ได้แข่งขันจนจบและได้ตำแหน่งที่ 7 มาครอง

รถ RA272 นั้นมีสีขาวอมเหลือง และเหมือนกับสีขาวที่รถ Type R เลือกใช้ ดังนั้นชื่อรหัสสีขาว Championship white จึงถูกตั้งขึ้นตามตำนานและที่มาข้างต้น
 

 

 

Civic FD JDM Style part 4

ไฟท้าย: สำหรับไฟท้าย FD2 Type R นั้น ดูผ่านๆ จะคล้ายไฟท้ายบ้านเรา แต่ข้อแตกต่างที่สังเกตุได้เด่นชัดคือ ไฟท้าย Type R นั้น จะมีสีแดงบริเวณที่เป็นพื้นรอบๆ ดวงกลมเข้มกว่าไฟท้าย FD บ้านเรามาก เนื่องจากว่า ชิ้นพลาสติกด้านหลังนั้น ของ FD2 Type R จะเป็นสีดำ สีจะออกโทนแดงคล้ำ ในขณะที่บ้านเราจะเป็นสีเทา สีแดงบริเวณที่เป็นพื้นรอบๆ ดวงกลมของไฟท้าย FD บ้านเราจะออกสีเป็นสีแดงสดๆ
 

 

Civic FD JDM Style part 3

กระจกมองข้าง: กระจกมองข้าง FD2 Type R เมื่อเปรียบกับกระจก FD บ้านเราแล้ว จะมีความเรียว เล็ก และโฉบเฉี่ยว กว่า จะไม่มีขอบพลาสติกสีดำรอบๆ ตัวกระจก และไม่มีไฟเลี้ยวที่ด้านหลังกระจก ขนาดและรูปทรงของเลนส์กระจกก็จะไม่เหมือ นของบ้านเรา เนื่องจากเลนส์เดิมติดรถมาจะเป็นแค่เลนส์ขาวธรรมดา ดังนั้นสำนักแต่งรถแดนปลาดิบต่างๆ จึงผลิตเลนส์กระจกซิ่งขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเลนส์ฟ้าตัดแสง หรือเลนส์โค้งพิเศษเพิ่มมุมมองในมุมอับ เช่น Zoom Engineering, Spoon, Seeker, Mugen และ AquaClean ของฮอนด้าแอคเซส เป็นต้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนใส่แทนได้เลย

กระจกมองข้าง Type R มีทั้งแบบพับไฟฟ้าและไม่พับไฟฟ้า สามารถยกมาติดตั้งแทนกระจกเดิม FD บ้านเราได้เลย ส่วนการใช้งานนั้น เพียงแค่แปลงปลั๊กก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ        

Civic FD JDM Style part 2

พวงมาลัย: เป็นของชิ้นแรกๆ ที่ผู้แต่งรถสาย JDM จะต้องนึกถึง พวงมาลัย FD2 Type R นั้น รอบวงพวงมาลัยจะเป็นหนังเรียบสีดำไม่มีรู กรอบตัววีจะเป็นสีดำ พร้อมพลาสติกครอบหลังพวงมาลัยสีดำ ขนาดของพวงมาลัยนั้นจะมีความอ้วนน้อยกว่า พวง FD บ้านเรา ทำให้จับได้กระชับ ถนัดมือ ตัวพวงจะไม่กลมซะทีเดียว ที่ด้านบนจะมีความแบนมากกว่าด้านล่าง เพื่อมุมมองที่ชัดเจนของเรือนไมล์ และที่สำคัญ เสริมความเป็น Signature ของ Type R ด้วยการเดินด้ายแดงและสัญลักษณ์ H แดงที่กลางลูกแอร์แบ็ค  
 

 

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ
 
Civic FD JDM Style part 1

JDM ย่อมาจาก Japan Domestic Market เป็นคำที่นิยมใช้กับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ เพื่อสื่อให้ทราบถึงรถยนต์และชิ้นส่วนนั้นๆ สำหรับทำขายเฉพาะในตลาดรถยนต์ญี่ปุ่น จึงทำให้เกิดแนวการแต่งรถที่เรียกว่า JDM Style ขึ้นมา

การแต่งรถแนว JDM Style จึงถือเป็นอีกแนวทางที่น่าสนใจ เพียงแต่การแต่งในลักษณะนี้มักจะถูกมองว่า “แต่งแล้วก็เหมือนไม่ได้แต่ง” เพราะการแต่งแบบ JDM คือ การนำชิ้นส่วนต่างๆ ของตัวรถที่เป็นสเปกสำหรับขายในญี่ปุ่นมาเปลี่ยนแบบถอดใส่กับรถที่ขายในบ้านเรา หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ “แต่งให้เป็นรถสแตนดาร์ดจากนอก” ซึ่งจะต้องใช้ของแต่งตรงรุ่นจากญี่ปุ่นทั้งหมด แต่ถ้าเป็นรถที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ไปเป็นของสเปกญี่ปุ่น แต่แต่งเพิ่มอย่างเดียว มันไม่ครบสูตร JDM

Civic FD ก็เป็นอีกรุ่นที่ได้รับความนิยมในการแต่งรถแนว JDM โดยเฉพาะการเปลี่ยนให้เป็นเวอร์ชัน สูงสุดอย่าง Type R (FD2 Type R) ซึ่งถ้ามองอย่างผิวเผิญ อาจจะคิดว่ารถ FD ที่ขายในบ้านเราเหมือนๆ กับ Type R แต่ถ้าศึกษาให้ลึกแล้วจะพบว่า มีความแตกต่างกันในเกือบทุกๆ รายละเอียดของตัวรถ ทั้งภายใน ภายนอก เครื่องยนต์ ฯลฯ

ที่เปลี่ยนไปก็ หน้าซ้าย1 หลังขวา2 หลังซ้าย3 แล้วครับ ระยะทาง สามแสนหนึ่งหมื่นกิโลเมตร

E85 ครับ

ถ้าถามผม ผมแนะนำให้ใส่ หน้าหลังเท่ากัน
 
การใส่หน้า 8 หลัง 9 มันเหมาะกับรถล้อหลังครับ
รถขับหน้าต้องใส่หน้า 9 หลัง 8 ต่างหาก
ที่ต้องหน้ากว้างเพราะเป็นล้อที่ส่งกำลัง
ต้องรองรับแรงม้า/แรงบิดมากกว่า
 
ที่ใส่ๆ กันเนี่ยเพื่อสวยงามทั้งนั้น ไม่มีประโยชน์ใดๆ
ในทางวิศวกรรมเลย แถมเพิ่มความลำบากตอน
สลับยางเข้าไปอีกครับ

เจ้าของกระทู้คนสวยติดภาระกิจใหญ่ แวะมา UP กระทู้ให้นะคร๊าาาาา

คึกคักกันหน่อยครับ

เหมือนเดิม

 

วันนี้มีริวิวเล็กๆ ติดเกจ์วัดมาฝากครับ
ชุดเกจ์ที่ผมติดเป็นแบบต่อตรง 
(ไม่ต้องมีชุดกล่องคอนโทรล)
ใช้อ่านค่าเท่านั้น ไม่สามารถบันทึกค่าได้
เป็นอีกทางเลือกสำหรับใครที่อยากติดเกจ์แบบนี้ครับ
อุปกรณ์มี
เกจ์ยี่ห้อ : X-line หน้าดำ-ไฟแดง (ซื้อคลองถม ไทยแลนด์)
ชนิดเกจ์ : ชุด 3 ตัว NA (Water Temp. + Oil Temp. + Oil Press.)
               วัดอุณหภมิน้ำ , น้ำมันเครื่อง และแรงดันน้ำมันเครื่อง
Pillar:      ทรง Mugen Hood
อุปกรณ์อื่นๆ : 1) Adapter Water Temp. 2) Adapter  Oil Temp. + Oil Press.
ร้านบริการ : ร้าน ICE SHOP (พี่แจ๊ค)
 
เริ่มต้นด้วยไปถึงร้านพี่แจ๊ค เช้าๆ
เป็นบ้านพักอาศัย  รับติดเกจ์แท้ๆ ทุกยี่ห้อ เน้นๆ ก็พวก Defi 
ส่วนใหญ่พี่เขาจะอยู่อู่รถแต่ง รถแข่งครับ

 
ไม่นานพี่แจ๊คก็เริ่มงานด้วยการเตรียมอุปกรณ์ให้ครบก่อน...

อุปกรณ์ก็จะมีพวกเกจ์ ถ้วยเกจ์ Pillar เซ็นเซอร์ อแดปเตอร์ต่างๆ
** ที่เห็นแท่งทองเหลืองคือ Adapter Oil มี 2 รูสำหรับใส่เซ็นเซอร์ Temp. กับ Pressure สำหรับ FD/FB ครับ 
 
เมื่อของครบถ้วนแล้ว ก็เริ่มประกอบเกจ์กับ Pillar และวัดความยาวสายไฟต่างๆ
พี่แจ๊คก็เริ่มงานแบบใจเย็น ค่อยเป็นค่อยไป
แ
 
วางตำแหน่งเกจ์และดูจุดเดินสายไฟจากคอนโซลไปห้องเครื่อง

 
 ต่อสายไฟ เสียบปลั๊กเกจ์ และ Set ตำแหน่งเสร็จแล้วหล่อแบบนี้ อิอิ
งานเดินสายพี่แจ็คเนียนใช้ได้เลยครับ
และส่วนหนึ่งผมมี Pillar Mugen มาด้วยเลยครอบทับจุดร้อยสายไฟพอดี

 
 
มาถึงส่วนภายในห้องเครื่อง
เริ่มด้วยการต่อ Adapter Water Temp.และต่อตัวเซ็นเซอร์ ผมใช้ยี่ห้อ HKS ขนาด 32 mm. ต่อแล้วขันให้แน่น ครับ

 
 
จากนั้นติดตั้ง Adaptor Oil Temp. และ Oil Press. ที่จุดกรองน้ำมันเครื่อง
(ซึ่ง Adaptorชนิดนี้เป็นทองเหลือรุ่นใหม่ที่เหมาะสำหรับ FD/FB ยาวประมาณ 10 ซม.สามารถใช้ต่อได้เลย)

 
แล้วติดตั้งตัวเซ็นเซอร์ Oil Temp. และ Oil Pressure   

 
ขั้นสุดท้ายก็ตรวจการรั่วซึม (Leak) แล้วทดสอบการใช้งาน
 
เสร็จแล้วก็ใช้งานได้เลย เกจ์หน้ามืดไฟแดง มันแจ่มจริงๆ
 

 
หลังติดตั้งผู้ใช้งานต้องหมั่นตรวจสอบจุดเชื่อมต่างๆด้วย
เพราะการติดตั้ง Adapters และ Sensor ต่างๆ อาจจะมีการดัดแแปลง และ ตำแหน่งที่ติดตั้งก็อาจจะแตกต่างกัน 
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร้านที่ไปติด ความชำนาญ และการรับประกันผลงาน
 ยังไงก็ลองติดดูกันได้ครับผม

ตัวเบาะ:    RECARO SR5 (เป็นรุ่น30ปี เนื่องในโอกาสก่อตั้งโรงงาน Recaro ผลิตที่ญี่ปุ่น)
ประมูลจาก : Yahoo Japan เป็นเบาะมือสอง 
ราง:          Bride FD2 มือสอง (แปลงรางให้ใส่เบาะแต่งได้ทุกรุ่น โดย พี่ป้อม@home มีนบุรี)
วัสดุ:         ผ้าแบบหนา / ปีกเป็นโครงเหล็ก
ลักษณะ:   ส่วนเบาะมีปีก/ ส่วนเบาะพิงมีปีกโอบไหล่/ เตี้ยกว่าเบาะเดิม ประมาณ 1 นิ้ว
ข้อดี:        ไม่อึดอัด ไม่ปวดหลัง โครงเบาะแข็งแรง  ปีกไม่หักง่ายๆ  โอบกระชับตัวไม่หลุดเวลาเข้าโค้ง
ข้อเสีย:     เตี้ยกว่าเบาะเดิม หากคนขับตัวเล็กอาจมองไม่ถนัด/ คนตัวใหญ่ลุกขึ้นลงยาก เพราะติดปีก
 
มีแนะนำในการเลือกเบาะแต่ง อยากให้ดูตรงนี้ก่อนตัดสินใจนะครับ
1. ความเหนียวและแข็งแรงของโครงเบาะ
2. ฟองน้ำของเบาะเกรดดีๆ มันจะนุ่มรับกับร่างกายเรา พอเราลุกออกมา ฟองน้ำมันจะคืนตัวทันที
3. ผ้าของเบาะจะต้องทนทานและนุ่มนวล
4. "รางเบาะ" ที่ดีสามารถปรับแต่งเบาะ การเลื่อนเบาะได้สุด ไม่สุด ได้ละเอียดมาก
     ที่สำคัญที่สุดคือ “ความแข็งแรง” ยามเมื่อเราเกิดอุบัติเหตุ
     รางแต่ละยี่ห้อ ไม่สามารถใช้สลับยี่ห้อกันได้ (เพราะ รูยึดเบาะมันไม่ตรงกัน) หรือ อาจเจาะแปลงให้ใส่เบาะได้ทุกรุ่นก็ได้ (ช่างไทยทำได้)
5. ส่วนรุ่นหรือรูปทรงเบาะนั้น ต้องเป็นความเหมาะสมต่อรูปร่างของคนที่จะนั่งเป็นหลัก
6. ความชำนาญของช่างที่ไว้ใจได้ในการแปลงรางด้วยนะครับ
 

รถผม FD ติดแก็ส วิ่งมาแล้ว 240000 km เติมแก็ส อาทิตย์ล่ะ 2 ครั้ง รวมกันประมาณ 1100 บาท เดือนนึง ก็ประมาณ 4500บาท ตอนนี้เอารถ FD เข้าทำสี จึงเอา FB ของพี่มาใช้ เติม E85 ตลอด ใช้มา 1 เดือน ตอนนี้หมดค่าน้ำมันไปแล้วประมาณหนึ่งหมื่น

แก๊งส์สีเงินเริ่มไปไกลล่ะครับ

สวัสดีวันจันทร์ ฝากลูกชายผมด้วยนะครับบบ

ขออัพรูปเล่นๆหน่อยนะครับ ตอนเย็นว่างๆเลยจัดซะหน่อย รถก็ยังไม่ได้ล้าง อิอิ

สวยๆเลยครับ สีเงินไม่ต้องล้างบ่อยๆ มันแจ่มตรงนี้ 555

สีเงินหล่อทุกคันคัรบ