Jump to content

มาแชร์ข้อดีข้อเสีย ของผ้าเบรกที่ใช้งานจริงกันแต่ละรุ่นกันครับ


Recommended Posts

  • Replies 212
  • Created
  • Last Reply

Top Posters In This Topic

Top Posters In This Topic

  • 4 weeks later...
  • 2 weeks later...

ความรู้เรื่องผ้าเบรค

เห็นว่ารถของหลายๆท่านถึงวาระที่จะต้องเปลี่ยนผ้าเบรคกันแล้ว และหลายท่านก็ลังเล ของศูนย์หรือเปลี่ยนข้างนอกดีกว่า ลองอ่านเอาไว้เป็นความรู้และช่วยตัดสินใจดูนะครับ  

 

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับผ้าดิสก์เบรก  

ชนิดของผ้าดิสก์เบรก

ผ้าดิสก์เบรกที่มีจำหน่ายกันอยู่ในท้องตลาดขณะนี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆดังนี้

1. กลุ่มผ้าดิสก์เบรกราคาถูกทั่วไปที่มีส่วนผสมของสาร Asbestos หรือที่เรียกกันว่า "ผ้าใบ" จะมีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ คุณสมบัติในการเบรก จะใช้ได้ในความเร็วต่ำๆ หรือระยะต้นๆ แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้น ประสิทธิภาพในการเบรกจะลดลงอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ อายุการใช้งานจะสั้น ผ้าดิสก์เบรกหมดเร็ว นอกจากนั้นแร่ใยหินมีผลต่อสุขภาพ ในปัจจุบันจึงมีการใช้น้อยลง

2. กลุ่มที่ไม่มีส่วนผสมของสาร Asbestor หรือกลุ่ม Non-organic แบ่งออกเป็น 2ชนิด คือ

   2.1 ชนิดที่มีส่วนผสมส่วนใหญ่เป็นโลหะ (Semi-metallic) จะเป็นผ้าดิสก์เบรกของผู้ผลิตจากยุโรป หรืออเมริกา เช่น Bendix Mintex

   2.2 ชนิดที่มีส่วนผสมของสารอนินทรีย์อื่นๆ จะเป็นผ้าดิสก์เบรกของผู้ผลิตจากญี่ปุ่นเช่น Akebono

ทั้งสองชนิดนี้จัดเป็นผ้าดิสก์เบรกที่เกรดใกล้เคียงกัน

 

คุณสมบัติที่สำคัญของผ้าดิสก์เบรก  

สัมประสิทธิ์ของความฝืด

ผ้าดิสก์เบรกที่มีสัมประสิทธิ์ของความฝืดสูง จะมีผลต่อการเบรกได้ดีกว่า เป็นผลให้สามารถสร้างกลไกเบรกให้เล็กลงได้ และต้องการแรงเหยียบเบรกน้อยลง อย่างไรก็ตาม เบรกที่มีสัมประสิทธิ์สูงทำให้ยากต่อการควบคุม ดังนั้นจำเป็นต้องรักษาศูนย์ล้อให้ถูกต้องให้สอดคล้องกันด้วย

ความทนทานต่อการสึกหรอ  

การสึกหรอของผ้าดิสก์เบรกเปลี่ยนแปลงไปตามความเร็วของรถยนต์ และอุณหภูมิเบรก อย่างไรก็ตาม ผ้าดิสก์เบรกที่ทนทานต่อการสึกหรอได้ดี จะเป็นเหตุให้จานเบรกเกิดการสึกหรอ หรือเกิดรอยมากเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของรถไม่ต้องการ 

การเบรกไม่อยู่ และการชดเชย

เมื่ออุณหภูมิของผ้าเบรกเพิ่มขึ้น เนื่องจากความฝืดซึ่งทำให้เกิดความร้อน สัมประสิทธิ์ทางความฝืดจะลดลง และผลในการเบรกลดลง เป็นเหตุให้การเบรกไม่มีความแน่นอน ปรากฎการณ์นี้เป็นที่ทราบกันคือการเบรกไม่อยู่ เมื่อเบรกร้อนซึ่งเป็นสาเหตุให้สัมประสิทธิ์ลดลง ผ้าเบรกจะต้องสามารถเย็นลงไปสู่สัมประสิทธิ์เดิมได้ เรียกว่า การชดเชยผ้าเบรกที่มีการเปลี่ยนแปลงสัมประสิทธิ์ไปตามอุณหภูมิน้อย เป็นผ้าเบรกชนิดที่คุณภาพดี

อย่างไรก็ตาม ตามความจริงผ้าเบรกที่มีพื้นที่น้อยจะมีความร้อนได้ง่ายกว่า ทำให้สัมประสิทธิ์ลดลง และมีผลต่อประสิทธิภาพในการเบรก การเบรกไม่อยู่ก็อาจเกิดขึ้นได้ง่ายจากการที่ผิวหน้าสัมผัสของผ้าเบรกไม่ถูกต้อง และการที่ผ้าเบรกจับไม่สม่ำเสมอก็จะเป็นสาเหตุให้เบรกดึงข้างไดข้างหนึ่ง ผิวหน้าสัมผัสของผ้าเบรกข้างซ้ายและขวาไม่จับที่ตำแหน่งเดียวกัน หรือจับไม่เท่ากันก็จะเป็นเหตุให้อุณหภูมิของเบรกทั้ง2ข้างไม่เท่ากัน ทำให้เบรกดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง

 

การเปรียบเทียบคุณสมบัติของผ้าเบรกAsbestos กับ Metallic  

เปรียบเทียบความฝืด(Friction) กับอุณหภูมิ(Temperature)

- ที่อุณหภูมิต่ำ หรือขณะที่ผ้าเบรกยังไม่มีเกิดความร้อน ผ้าเบรก Asbestos จะมีความฝืดมากกว่าผ้าเบรก Metallic

- แต่เมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง หรือผ้าเบรกเกิดความร้อน มีอุณหภูมิสูงขึ้นแล้ว ผ้าเบรก Metallic จะมีความฝืดมากกว่า ผ้าเบรก Asbestos

นั่นคือ ในช่วงแรกของการใช้งาน เมื่อรถเคลื่อนตัว ผ้าเบรก Asbestos จะเบรกได้ดีกว่าผ้าเบรก Metallic แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้น ผ้าเบรก Metallic จะสามารถเบรกได้ดีกว่าผ้าเบรก Asbestos

เปรียบเทียบการสึก หรือการหมดของผ้าเบรก กับอุณหภูมิ

- ณ ที่อุณหภูมิต่ำ หรือขณะที่ผ้าเบรกยังไม่เกิดความร้อน การสึกของผ้าเบรก Metallic กับผ้าเบรก Asbestos จะพอๆกัน

- เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ผ้าเบรก Asbestos จะมีการสึกหรอมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ผ้าเบรก Metallic การสึกหรอจะค่อยลดลง นั่นก็คือความทนทานต่อการสึกหรอ ของผ้าเบรก Metallic จะสูงกว่าผ้าเบรก Asbestos

ควรเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อใด  

 

โดยทั่วไปเค้าจะกำหนดให้ตรวจสอบผ้าเบรกกันทุก 3 เดือนหรือประมาณ 5,000 กม.ซึ่งถ้าทำได้มันจะเป็นการดี ส่วนอายุ การใช้ งานของผ้าเบรกนั้น ตอบยากว่ามันจะอยู่กับตัวแปรหลายต่อหลายอย่าง เช่นชนิดหรือคุณภาพของผ้าเบรก น้ำหนักรถ หรือ การใช้งาน เพื่อความสะดวกและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้รถ พวกรถรุ่นใหม่ที่มีค่าตัวค่อนข้างสูง เค้ามักจะมีระบบไฟเตือนเบรก (Wear Indica- tor) อยู่บนแผงหน้าปัทม์ ถ้าไฟเตือนนี้ติดโชว์แสดงว่ามีปัญหากับระบบเบรก อาจเป็นที่น้ำมันเบรกมีน้อยกว่า ระดับที่ เหมาะสม หรือผ้าเบรกสึก เหลือบางกว่าที่ควร

สำหรับรถบางประเภทอย่างเช่นพวกรถกระบะ จะนิยมใช้การเตือนด้วยเสียงแทน เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจาก ตัวเหล็กที่ยึดติดกับแผ่น ดิสค์เบรกขูดไปบนขอบของจานเบรค เป็นการเตือนว่าผ้าเบรกมีความหนาน้อยกว่า 3 มม. สมควรที่จะรีบ เปลี่ยนได้แล้ว ส่วนพวกรถรุ่นเก่าๆ บางรุ่นที่ไม่มีสัญญาณเตือนอะไรเลย ถ้าเกิดเสียงดังตอน เบรกขึ้นมา เมื่อไร ก็หมายความว่าผ้าเบรก สึกหมดจนถึงแผ่นเหล็กซะแล้ว และแน่นอนว่า มันย่อมสร้างความ เสียหาย ให้ กับจานดิสค์เบรกได้ บางทีถึงกับต้องเปลี่ยนจานเบรกใหม่ เลยก็มี

พวกรถประเภทนี้ เจ้าของจะต้อง ขยัน ถอดล้อออกมาตรวจความหนาของผ้าเบรกบ่อยๆ หรือใช้การคาดเดา จาก ระยะเวลาที่เคย ใช้กับผ้าเบรก ชุดก่อน คือต้องจำไว้ว่าผ้าเบรกหมด จนต้องเปลี่ยนใหม่ หลังจาก ใช้งานไปได้กี่กิโลเมตร ในบางครั้งเรา ก็สามารถตรวจ เช็คความหนาของเบรกได้จากความรู้สึก ในการเหยียบเบรก  เช่น อาจจะรู้สึกว่าคันเหยียบเบรกต่ำกว่าปกติ หรือผ้าเบรกคลื่นต้องใช้แรง กดเท้ามากกว่าที่เคยในการหยุดรถ นอกจากนี้ เรายัง พอดูได้ จากระดับของน้ำมันในกระปุกน้ำมันเบรก

ถ้าพบว่ามันลดต่ำมากกว่าปกติแต่ ไม่พบการรั่วไหลของน้ำมันในกระปุกน้ำมันเบรก อาจเป็นไปได้ว่าผ้าเบรกบางลงมาก ทำให้แม่ปั้มที่คาลิเปอร์เบรคต้องยืดตัวออกมา มากระดับของน้ำมันเบรก ในกระปุกเลย ยุบตัว ลงมาด้วย จากการใช้งานจะพบว่าผ้าเบรกด้านหน้าจะมีการสึกหรอมากกว่าด้านหลังโดย เฉพาะพวกที่ใช้ระบบเบรกแบบ หน้าดิสค์ หลังดรัม ส่วนใหญ่ผ้าเบรกดิสค์ด้านหน้าต้องเปลี่ยน 2 ครั้งจึงจะได้เวลาเปลี่ยนผ้าดรัมเบรก หลัง 1 ครั้ง

เรื่องของผ้าเบรก  

 

สมัยก่อนในผ้าเบรกจะมีส่วนผสมที่สำคัญคือสาร "แอสเบสตอส" (สมัยนี้ ก็ยังพอมีอยู่) เนื่องจากมันมีราคาถูกเวลาเบรกก็เสียงเงียบดี อีกด้วย นอกจากนี้ เวลาใช้แล้วกระทะล้อจะไม่ดูสกปรก เพราะฝุ่นของมันจะมีสีขาว ใกล้เคียงกับ สีของ กระทะล้อแม็ก แต่ข้อเสียของมันก็ มีเนื่องจากสาร แอสเบสตอสนี้ จะปลิว คละคลุ้งปะปนอยู่ในอากาศ เมื่อหายใจจะสูดเอาฝุ่นของสารนี้เข้าไปด้วย มันจะเข้า ไปฝังตัวในปอด ทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ในการผลิตผ้าเบรกยุคก่อนๆ 

 

สารที่ใช้เป็นตัวยึดเกาะผ้าเบรก ให้คงทนอยู่ในสภาพเป็นแผ่นนั้นมักจะมีคุณ ภาพต่ำ ทนความร้อนได้ไม่สูงนัก เวลาใช้เบรกกัน บ่อยๆ จะเกิดความร้อนทำให้เบรกมีอาการ Fade ประสิทธิภาพในการจับตัวลดลง เมื่ออยากจะหยุด รถจึงต้องออกแรง เหยียบเบรก กันมากกว่าปกติ เค้าจึงมีการแบ่งเกรดตามระดับการใช้งาน คือ เกรด S จะมีเนื้อนิ่ม จับ ตัวได้ดีตั้งแต่ช่วงความเร็วต่ำ แต่ถ้าใช้เบรก ในช่วงความเร็วสูงก็จะเกิดการ Fade ได้ง่าย และเกรด R ระดับรถแข่ง จะผสมโลหะ เข้าไปในเนื้อผ้าเบรกค่อนข้างเยอะ แม้จะ เบรก กันรุนแรงในช่วงความเร็วสูงอาการ Fade จะมีน้อยสามารถทนความร้อนได้ดีกว่า แต่ การจับตัวในช่วงที่เบรกเย็น จะมี ประสิทธิภาพต่ำ

 

ชนิดของผ้าเบรกที่ใช้กันอยู่ทั่วไป  

 

ความแตกต่างระหว่าง ผ้าเบรก NAO, Semi-Metallic, Metallic, Asbestos

สำหรับปัจจุบันนี้ ผ้าดิสก์เบรก ที่ใช้กันแพร่หลายทั่วไปมีด้วยกันอยู่ 5 กลุ่ม คือ 

1. NAO (NON ASBESTOS ORGANIC)

เป็นกลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ใยสังเคราะห์ที่เป็นอโลหะ มีน้ำหนักเบา เพื่อทำหน้าที่ เป็นโครงสร้างพื้นฐานและแสดงสมบัติของแรงเสียดทาน ในกลุ่มนี้มีลักษณะเด่น ตรงที่ น้ำหนักเบา ง่ายต่อการควบคุมไม่ให้เกิดฝุ่นหรือเสียง และให้แรงเสียดทาน สูงพอสมควร แต่จะมีข้อจำกัดตรงที่ ส่วนมากจะต้องการส่วนผสมหลายชนิด การทนอุณหภูมิการใช้งานที่สูงมากๆไม่ค่อยดี การดูดซับ และคายความร้อน ได้ยาก และที่สำคัญ ใยสังเคราะห์บางตัวที่ไม่ใช่ ASBESTOS อาจยังคงมี อันตรายต่อระบบทางเดินหายใจอยู่บ้าง

 

2. Semi-Metallic หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า SemiMet

เป็นกลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ใยเหล็กเป็นองค์ประกอบโครงสร้างพื้นฐานและแสดงสมบัติของแรงเสียดทานเพียงบางส่วน ในกลุ่มนี้มี ลักษณะเด่นตรงที่ มีความปลอดภัยสูงมากต่อระบบทางเดินหายใจ และมีความสามารถในการทนต่อการใช้งานที่อุณหภูมิสูงได้ดี มีการคายความร้อนได้เร็ว แต่ยังมีข้อจำกัดในด้านการควบคุมไม่ให้เกิดเสียงดังและฝุ่นดำ

 

3. Fully Metallic หรือ Metallic

เป็นกลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ผงเหล็กละเอียดมาขึ้นรูปด้วยเทคนิคการซินเทอร์ริง (Sinter) ซึ่งเป็นการอัดขึ้นรูป ที่แรงดันสูง และ อุณหภูมิสูงปานกลาง ซึ่งผงเหล็กที่ใช้จะเป็นผงเหล็กพิเศษโดยจะมีคุณสมบัติของแรงเสียดทานอยู่ในตัว ในกลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษ ตรงที่สามารถทนต่ออุณหภูมิการใช้งานที่สูงมากได้

 

4. ASBESTOS

เป็นผ้าเบรกยุคเก่าที่ใช้สารใยหินเป็นองค์ประกอบหลัก คุณสมบัติพิเศษก็คือ สารใยหินมีราคาถูก และให้แรงเสียดทานได้ดี ที่ อุณหภูมิต่ำๆ แต่มีอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจต่อสิ่งมีชีวิตอย่างมาก จึงมีอารยประเทศหลายๆ ประเทศได้กำหนดให้ ห้ามการ ผลิตผ้าเบรกชนิดนี้

 

5. กลุ่ม Advance Material

เป็นกลุ่มวัตถุดิบที่อยู่นอกเหนือจากที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ในการสรรหาวัตถุดิบ ที่มีคุณ ลักษณะ พิเศษต่างๆ เพื่อให้ได้ตามความต้องการของลูกค้า

 
ผ้าเบรคที่ดีและควรใช้ 

ผ้าเบรกที่ดีสำหรับรถสมัยนี้ อย่างแรกคือ ควรเป็นผ้าเบรก ที่ไม่มี สาร แอสเบสตอสผสมอยู่ ผ้าเบรกที่ควรใช้จะให้มีประสิทธิภาพใน การหยุด ได้ดี และมีเสียงน้อย ทั้งในช่วงที่ผ้าเบรกยังเย็นอยู่ และขณะผ้าเบรก มี อุณหภูมิสูง ประเภทที่ช่วงผ้าเบรกเย็นจะเบรกไม่ค่อยอยู่ ต้องรอให้ ผ้าเบรก ร้อนชะก่อน หรือประเภทเบรกคดีเฉพาะตอนเย็น ตอนผ้าเบรก ร้อนแล้วไม่ได้เรื่องมีอาการ Fade เยอะสำหรับรถที่ ใช้งานระดับ ชาวบ้าน ในยุคนี้ต้องถือว่าเป็นผ้าเบรกที่จะไม่ค่อย น่าจะคบด้วย ซักเท่าไร เพราะสมัยนี้เค้าพัฒนากันไปเยอะแล้ว

 

* * *หลังจากเปลี่ยนผ้าเบรกมาใหม่ๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนผ้าเบรก เจียร์จานเบรก หรือเปลี่ยนจานเบรกใหม่ก็ตาม ช่วงระยะการใช้รถใน 200 กม.แรก ควรจะมีการ Bedding-in กันซะก่อน ไม่ควรลงเบรกกันอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ผ้าเบรก และจานเบรกเป็นรอย จะทำให้ เวลาเบรกมีเสียงดังและประสิทธิภาพในการหยุดด้อยลงไป จึงควรขับและใช้เบรกกันอย่างนิ่มนวลไปก่อนจนกว่าจะพ้นระยะ 200 กม. แรกไปก่อน* * *

Link to comment
Share on other sites

  • 3 weeks later...

อยากให้ท่านที่เคยใช้ผ้าเบรค hisoft premium v2 มารีวิวและอธิบายข้อดี ข้อเสียให้ฟังหน่อยครับ

เผื่อจะได้มีการปรับปรุง material ใน ล็อตการผลิตครั้งหน้าครับ

 

หรือท่านใดเคยใช้ ยี่ห้ออื่นๆเช่น brembo compact nano ตัวท๊อป มารีวิว ให้ดูกันหน่อยครับ

ตอนนี้ผมเองเปลี่ยนไปใช้ Accord ได้ปีกว่า

 

 

แต่สำหรับผ้าเบรค Hi-Soft ก็ดีนะครับ. มีแค่ล่าสุดเจอปัญหาก็แจ้งที่คุณโก้ไปแล้ว

Link to comment
Share on other sites

ตอนนี้ผมเองเปลี่ยนไปใช้ Accord ได้ปีกว่า

 

 

แต่สำหรับผ้าเบรค Hi-Soft ก็ดีนะครับ. มีแค่ล่าสุดเจอปัญหาก็แจ้งที่คุณโก้ไปแล้ว

เล่นในมือถือกดไวไปหน่อย... ของผมเองน่าจะเจอปัญหาคนแรกเลยก็ว่าได้. ก็ยังไม่ได้ดูว่าปัญหาเกิดจากอะไร เพราะว่ารถไม่ได้ใช้เองเป็นปีเลยทีเดียว

 

ตอนนี้เลยใช้แต่ผ้าเบรคศูนย์ครับ

 

 

ขอบคุณครับ

Link to comment
Share on other sites

มีปัญหาอย่างไรอะครับ

ตัวเนื้อผ้าเบรคมันยุ่ยๆไป. เป็นข้างเดียว ร้าวและแตกออก

 

พอดีรถพี่ชายเอาไปใช้. ผมเองสังเกตุเห็นว่าจานเบรคเป็นรอยมาก. แต่ผมเองไม่ได้เช็คตรวจสอบด้วยตัวเองว่าเกิดจากอะไร

 

 

ส่วนตัวคิดว่า. อาจจะใช้งานหนัก แล้ว มาเจอน้ำ หรือมีเศษฝุ่นหินเข้าไประหว่างผ้าเบรคกับตัวจานเบรค.

 

ไว้ว่างๆจะนำภาพมาให้ชมครับ. เล่นในมือถือลำบากไปนิด

Link to comment
Share on other sites

อยากให้ท่านที่เคยใช้ผ้าเบรค hisoft premium v2 มารีวิวและอธิบายข้อดี ข้อเสียให้ฟังหน่อยครับ

เผื่อจะได้มีการปรับปรุง material ใน ล็อตการผลิตครั้งหน้าครับ

 

หรือท่านใดเคยใช้ ยี่ห้ออื่นๆเช่น brembo compact nano ตัวท๊อป มารีวิว ให้ดูกันหน่อยครับ

 

ไว้จะเอาภาพการใช้งานมาให้ดูครับผม

Link to comment
Share on other sites

  • 1 month later...
  • 3 weeks later...

150701081226.JPG

 

 

 

ภาพอาจจะใหญ่ซักหน่อยนะครับ เผื่อท่านใดต้องการดูภาพชัดๆ ครับ

สำหรับการใช้งาน ก็ดีอ่ะคับ   ผ้าเบรคเป็นทางด้านฝั่งซ้าย  ระยะทางประมาณ 25,000 Km. ครับ

ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ครับ 

ตอนนี้เลยกลับมาใช้ผ้าเบรคเดิมของศูนย์ เนื่องจากรถ civic ผมให้พี่ชายใช้งานอยู่ครับ

โดยส่วนตัว ตอนนี้ผมขับ Accord 2.4 เลยไม่ได้ตรวจสอบเท่าไหร่  

Link to comment
Share on other sites

150701081226.JPG

 

 

 

ภาพอาจจะใหญ่ซักหน่อยนะครับ เผื่อท่านใดต้องการดูภาพชัดๆ ครับ

สำหรับการใช้งาน ก็ดีอ่ะคับ   ผ้าเบรคเป็นทางด้านฝั่งซ้าย  ระยะทางประมาณ 25,000 Km. ครับ

ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่า ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ครับ 

ตอนนี้เลยกลับมาใช้ผ้าเบรคเดิมของศูนย์ เนื่องจากรถ civic ผมให้พี่ชายใช้งานอยู่ครับ

โดยส่วนตัว ตอนนี้ผมขับ Accord 2.4 เลยไม่ได้ตรวจสอบเท่าไหร่  

 

ถามหน่อยครับ มันมีอาการยังไงบ้างครับ ถึงถอดเบรคมาดูตามรูป

Link to comment
Share on other sites

ถามหน่อยครับ มันมีอาการยังไงบ้างครับ ถึงถอดเบรคมาดูตามรูป

สวัสดีครับ  สำหรับอาการดังกล่าว

1. จานเบรคทางด้านซ้ายมีลักษณะที่ เป็นรอยไม่เท่ากันของจาน  ตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นที่ ผมไม่ได้เจียรจานเบรคครับ

2. หลังจากใช้งานไป ซักระยะ พี่ชายแจ้งว่าตอนเบรค มีอาการดึงขวา ครับ  เนื่องจาก ผ้าเบรคทางด้านขวามี Friction มากกว่าทางด้านซ้ายครับ

 

 

จัดมาแล้วแต่ยังได้เปลี่ยน

เริมใจไม่ดีแล่ะ

ใจเย็นๆครับ ผมเองก็ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันว่าเกิดจากสาเหตุใด ครับ เนื่องจากรถคันดังกล่าวพี่ชายผม ใช้งานอย่างเดียวไม่ได้ดูด้วยครับ

ผมเองมาสังเกตุเห็น แล้วจึงตรวจสอบครับ  สำหรับการใช้งาน 25,000 ที่ผ่านมา  ไม่ทราบว่าขับใช้งานอย่างไร

 

สงสัยต้องใช้ MU ต่อไป

 

 

Mu Spec ช่วงความหนาผ้าเบรคต่ำกว่า 4mm. เจอปัญหาผ้าเบรคร้าวนะครับ

Link to comment
Share on other sites

ผ้าเบรค mu spec ผมว่าดีแค่ตอนแรกๆนะ พอผ้าเบรคเหลือสัก3-5 mm แล้วหมดไวเกิ๊น แถมผ้าเบรคซ้ายขวา กินไม่เท่ากันอีก

Link to comment
Share on other sites

ตอบกลับคุณ  Lhorn

 

 ดูแล้วมันเหมือนกินผ้าเบรคด้านเดียวนะครับ.........อยากดูรูปผ้าเบรค(ด้านล้อขวา)อีกด้าน ครับ ว่ามีอาการเหมือนกับด้านซ้าย หรือเปล่า ? 

 

ปกติจะเจอแต่ปัญหา เสียงแหลมจี๊ด ช่วงเลียเบรค เพื่อชะลอรถตอนจ่ายค่าทางด่วน

 

  ส่วนเรื่องผ้าเบรคไหม้ ยังไม่เคยเจอนะครับ.......เป็นกรณีศึกษา ที่ดีเลย

 

  ผ้าเบรคยุ่ย เคยเจอแต่ของค่ายอื่น...........แต่ถ้าเป้นผ้าเบรครุ่นนี้ ต้องไปดูที่ล๊อตการผลิตแล้วครับ ว่าคนอื่นมีปัญหาเหมือนกันหรือเปล่า

Link to comment
Share on other sites

  • 3 weeks later...

อาการผ้าเบรคร่อน สาเหตุมาได้หลายอย่างครับ

 

1. ผ้าเบรคไปโดนสารเคมี อาจจะน้ำมัน จาระบี หรือ อะไรสักอย่างกัดผ้าเบรคร่อนออกมา

2. มีการใช้เบรคอย่างหนักหน่วง รุนแรง หรือ ระบบเบรคเองมีปัญหา สูบติด ผ้าเบรคสีจานตลอด

3. จานคดหนัก กัดผ้าเบรค

 

หรือ

 

4. คุณภาพการผลิตของผ้าเบรค Lot นั้นๆ

Link to comment
Share on other sites

ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ครับ

 

พอดีเปลี่ยนให้รถน้องเขยที่บ้าน

 

เขาเปลี่ยนมาใช้ของ Mu spec

 

ตั้งแต่ระยะทาง 80,000 กม. พึ่งจะเปลี่ยนไปไม่นานนี้ตอนที่ระยะ 160,000 กม. (ใช้สังเกตจากตาเอานึกว่ายังไม่หมด)

 

พอถอดออก คาดว่าเหลือไม่ถึงมิลก็จะถึงเหล็กเตือนแล้วครับ

 

โดยรวมก็เบรคดีตั้งแต่เปลี่ยนครั้งแรก จนถึงถอดเปลี่ยนชุดที่สอง

 

ขอบคุณครับ

 

สรุป   1 ชุดใช้ไปเป็นระยะทาง 80,000 กม. ครับ

Link to comment
Share on other sites

ผมเพิ่งเปลี่ยนอาทิตย์ที่แล้วครับ

 

ชุดที่เปลี่ยนออก(นับเป็นชุดที่ 2) คู่หน้าเป็น MU (เปลี่ยนมาจาก ของศูนย์ติดรถ -> MU ตอน 32,000 กว่าโล) คู่หลังเป็นของศูนย์ เลขไมล์ 56,000 ระยะทางโดยรวมประมาณ 34,000 กว่าโล คิดเลขกลมๆ ซึ่งในใจคิดว่า ทำไมมันได้ระยะทางน้อยจัง

- สภาพผ้าเบรค

1. เหลือประมาณ 3-4 มิล (เหล็กเตือนอยู่ที่ระยะ 2 มิล) ช่างบอกว่าใช้ได้อีก 1-2 มิล คิดเป็นระยะทางประมาณ 1 หมื่นโล แต่ยอมเปลี่ยนทิ้งเลย

2. มีอาการร้าว ตัดขวาง ที่ผ้าเบรคคู่หน้า ไม่แน่ใจว่าร้าวเฉพาะชิ้นผ้าเบรคที่อยู่ฝั่งลูกสูบปั้มเบรคหรือป่าว(1 ล้อมีผ้าเบรค 2 ชิ้น) แต่ช่างบอกว่าไม่มีผลต่อการใช้งาน ใช้งานได้ปกติ เป็นเรื่องปกติของ MU ตัวนี้ ถ้าเป็นตัว 500 กับ 800 ไม่เป็น

3. ผ้าเบรคหลัง เหลือ ประมาณ 3 มิล (เปลี่ยนหน้า 2 รอบหลัง 1 รอบ)

 

- อาการโดยรวม

1. เบรครู้สึกได้ชัดเจนว่า เบรคหนึบกว่า ระยะเบรคสั้นกว่า ของศูนย์แบบรู้สึกได้ ฟันธง

2. มีเสียงดังกึ๊กๆ เวลาเบรคหยุดนิ่งและคลายแป้นเบรค ที่ล้อหน้า ถ้าไม่เคยใช้จะรู้สึกรำคาญนิดๆ ถ้าชินแล้วก็แล้วไป (ผ้าเบรคเดิมไม่มีเสียง)

 

 

ชุดใหม่ คู่หน้าเป็น MU คู่หลังเป็น MU (ยังมั่นใจและชอบฟิลลิ่งเป็นการส่วนตัว) รวมเจียร์จาน หน้า-หลัง

-อาการโดยรวม

1. ระยะเบรค การดึงรถให้หยุด ยังมั่นใจเหมือนเดิม

2. เสียงที่เคยดังกึ๊กๆ ที่ล้อหน้าเวลารถหยุด หรือคลายแป้นเบรค ตอนนี้...Opps ดังทั้งหน้า-หลัง 5555 สรุปว่าเป็นเสียงที่ผ้าเบรค MU แน่นอน

 

FYI

Link to comment
Share on other sites

ขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ ในรถอีกคัน ผมก็ใช้ผ้าเบรค MU อยู่ระยะเบรคก็ยังถือว่าดีครับ ใช้มา 25.000 กม. แล้ว ยังใช้งานได้ดีอยู่...

 

แต่ผ้าเบรคยุ่ย....หลังๆ น่าจะเกี่ยวกับล๊อตการผลิต

 

ส่วนเรื่องเสียงดัง กึกๆ ของผมเป็นตอนล้างรถใหม่ๆ หรือผ้าเบรคเย็นครับ พอจานเบรคร้อน ผ้าเบรคร้อน ไม่มีเสียงแต่ประการใด

 

ภาพรวม ดีกว่าของ 0 และค่ายดัง B อย่างแน่นอน...

Link to comment
Share on other sites

  • 3 weeks later...
  • 1 month later...

จัดhisoft premium v2 ลงคู่หน้าได้ / วันแล้ว พอดีหลัง MU ยังเหลือเยอะ จะเปลี่ยนก็เสียดาย โดยรวมชอบครับ นุ่มๆ หนึบๆ ไม่ต่างจากMU ของเดิม

ไงใช้สักพักจะมาแจ้งผลอีกที

ปล.เที่ยวนี้ MU ไม้ร้าวแล้วครับ แต่ด้านซ้ายสึกมากกว่าขวาอย่างเห็นได้ชัดเจน

Link to comment
Share on other sites

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

Guest
Reply to this topic...

×   Pasted as rich text.   Paste as plain text instead

  Only 75 emoji are allowed.

×   Your link has been automatically embedded.   Display as a link instead

×   Your previous content has been restored.   Clear editor

×   You cannot paste images directly. Upload or insert images from URL.

Loading...

×
×
  • Create New...