Jump to content

Sam LADDER

CCTH Member
  • Posts

    35
  • Joined

  • Last visited

Posts posted by Sam LADDER

  1. พี่ มีใครทราบไหมครับ ว่า Regulator น้ำมัน ของ civic FD มันอยู่ตรงไหนครับ

    เพราะต้องการใส่ Regulator แบบทน E85 และเปลี่ยน pumpติ๊กใหม่ด้วย

     

    คือหมายเลข 6 ตามไดอะแกรมที่คุณทอมมี่เอาให้ดู

    ทำไม ไม่เอาของ FB มาใส่ครับ

  2. จานไม่จำเป็นต้องสองชิ้นครับ ชินเดียวก็ได้ แต่ต้องหนา 28 มิล

    จานยี่ห้ออะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับร้านที่เราเอาไปทำ

    ยังไงอย่าลืมเช็คราคาก่อน ไม่งั้นโดนฟันแน่ๆ

     

    ส่วนเรื่องผ้า มีหลายเกรดครับ

    ผมพูดกลางๆ ละกัน ผ้าที่มิวเยอะ

    ทนอุณหภูมิสูง เบรคติดเท้า

    จะกินจาน ส่วนผ้านิ่ม

    ทนอุณหภูมิได้ต่ำ

    อายุจานจะยาวกว่า

     

    ที่ใส่ได้มีหลากหลายยี่ห้อ

     

    Brembo / Toon Motorsport

    Project Mu / N Sport shop

    Mintex / Precision Part Co.,LTD.

     

    แล้วแต่ชอบเลยครับ

     

    พี่เห็นต่างน่ะ

     

    - ไหนๆก็เสียเงินแล้ว ควรใช้จานแบบ 2 ชิ้น และอัพขนาดไปจานเต็ม limit ของล้อ

    คือล้อ 17" สามารถลงจานได้ประมาณ 330 - 335 แล้วแต่ขนาดความใหญ่โตของตัวปั๊ม

    - จานโตๆ แบบชิ้นเดียว ข้อเสียคือหนัก หนักจนรู้สึกได้ว่าออกตัวแล้วอืด .. มันจะกินแรงกำลังของเครื่อง

    - ความหนาของจาน ให้ดูที่ spec ของตัวปั๊มเป็นหลัก +/- ได้นิดหน่อย

    เน้นไปทาง + จะดีที่สุด เช่นสเปคของปั๊ม จับจาน 28 mm. ก็ควรใช้จานไม่เกิน 29 mm. เป็นต้น

    ข้อนี้ มีเหตุผลเรื่อง ระยะการบีบตัวของลูกสูบ .. เข้ามาเกี่ยวข้อง

     

    - ระวังเรื่องความหนาของตัวจาน

    หลายๆร้านมักจะเอาจานหนาๆ มาปาดหน้าปาดหลัง เพื่อให้ฟิต / ลงตัวกับปั๊ม

    ข้อเสียคือ ระยะ Max / Min ของความหนาตัวจาน มันมี limit อยู่ .. หากบางเกิน limit ก็จะมีปัญหาเรื่องความแข็งแรง

     

    ฯลฯ

     

  3.  พอดีวันนี้ไปเปลี่ยนโอริงตัวกั้นน้ำมันตรงคันชักเกียร์มา  น้ำมันเกียร์พร่องแล้วต้องเติมน้ำมันเกียร์เพิ่ม  แต่เห็นช่างเติมตอนสตารท์รถไว้และใช้ไม้วัดวัดดูน้ำมัน  เลยสงสัยว่าต้องเติมตอนสตารท์เครื่องหรือตอนดับเครื่องกันแน่  และจะต้องเติมเป็นจำนวนเท่าไร

     

    ฮอนด้า .. วัดน้ำมันเกียร์ตอนดับเครื่อง

     

    - สตาร์ทรถสักพักนึง พอเครื่องร้อนหรือพัดลมทำงาน .. ดับเครื่อง

    - ทิ้งไว้สัก 30 วิ - 1 นาที แล้วค่อยดึงก้านวัด

    - ระดับน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสม จะอยู่ประมาณรอยหยักของก้าน

     

    จำนวนการเติมน้ำมันเกียร์ ไม่แน่ ไม่นอน

    ผมถ่ายเอง ทำเอง .. ถ่ายทิ้งแบบเนียนๆ ให้หยดหมดทุกเม็ด .. ก็ใช้มากกว่าศูนย์ (เปิดคู่มือดูด้านหลังๆได้)

  4. Update เมื่อตอนผมไปรับรถ เจ้าหน้าที่เปลี่ยนคน คนนี้คุยดี ผมก็ถามว่าถอดมาล้างมั้ย ลิ้นปีก เค้าบอกต้องถอดครับ เอ้า แล้วอีคนรับตอนเช้าบอกไม่ถอด เอาไงล่ะเนี่ย ไม่เห็นด้วย

     

    แต่อาการรอบนิ่งมากครับ แต่อาการสั่นเบาๆตอนรอบเดินเบาก็ยังมีเหมือนเดิม เริ่มจะปล่อยวาง 555

     

    Update เมื่อตอนผมไปรับรถ เจ้าหน้าที่เปลี่ยนคน คนนี้คุยดี ผมก็ถามว่าถอดมาล้างมั้ย ลิ้นปีก เค้าบอกต้องถอดครับ เอ้า แล้วอีคนรับตอนเช้าบอกไม่ถอด เอาไงล่ะเนี่ย ไม่เห็นด้วย

     

    แต่อาการรอบนิ่งมากครับ แต่อาการสั่นเบาๆตอนรอบเดินเบาก็ยังมีเหมือนเดิม เริ่มจะปล่อยวาง 555

     

    ล้างลิ้นมี 2 วิธีครับ คือถอดก็ได้ / ไม่ถอดก็ได้

    ช่างบางคนไม่อยากถอด เพราะลิ้นไฟฟ้ามีโอกาสเสี่ยงกับผลที่ตามมา

    หากถอดมาล้างแล้วผล effect ตามมาเช่นรอบเดินเบาไม่นิ่ง .. ก็ทำ ecu learning ฯลฯ

  5. โดยปกติทั่วไป หากไฟเกียร์ D กระพริบ แสดงว่ามีปัญหาในระบบการขับเคลื่อน

    ซึ่งหมายถึงตัวเกียร์ และ sensor ที่ควบคุมระบบเกียร์

     

    - อาการแบบนี้หากมีไฟ check engine ขึ้นโชว์ด้วย เราก็จะวิเคราะห์ปัญหาได้ถูกต้องแม่นยำ ด้วยการใช้ OBDll SCANNER แบบที่ช่างทำให้ .. แต่

    - ช่างที่น้องเจอ คงไม่มีประสพการณ์ หรือมีความรู้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะ กลายเป็นให้ล้างเกียร์ ซึ่งที่ถูกต้องควรมุ่งไปที่ระบบไฟ หรือตัว Sensor ก่อน

    - หากระบบไฟ ระบบ sensor ไม่มีปัญหา .. ก็แสดงว่าตัวเกียร์ใกล้จะได้อายุของมันแล้ว  (ประมาณ +/- 250,000 กม.) .. โอเวอร์ฮอล ก็คง +/- 25,000 บาท

    .

    .

    - หากเป็นผม .. การล้างเกียร์นั้นจะใช้กับรถที่มีอายุพอประมาณระดับหนึ่งเท่านั้น จะไม่ใช้กับรถที่มีอาการแบบนี้ (เพราะถือว่าสายเกินไปนิดนึง)

     

    ฯลฯ

  6. ผมเคยแนะนำน้องๆ ไปหลายคน ให้เล่นเครื่องตัวนี้แทน K20 ฝาแดง

    เพราะราคายังไม่แรง .. โมนิด โมหน่อย ไปไกลกว่าฝาแดงเยอะ

     

    วางแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะทอร์คเยอะ ฯลฯ

  7. เกินไป .. เกินไปมากเลย

     

    มันยากที่จะชี้ขาดว่าใครกินใคร ใครชนะใคร .. เพราะมีปัจจัยหลายๆอย่าง

    จริงอยู่ที่ M/T จะได้เปรียบ A/T  .. แต่หากเป็นรถบ้านเดิมๆทั่วไปเหมือนกัน รุ่นเดียวกัน แต่งดีๆ มันก็ไม่หนีกันเท่าไหร่

     

    สรุปคือใช้งานทั่วไป M/T A/T ไม่หนีกัน แต่หากแต่งเพื่อการแข่งขัน จุดอ่อนของ A/T ก็อยู่ที่ระบบเกียร์เท่านั้น คนเลยไม่นิยมกัน

     

    คำถามของ จขกท. คือ อยากแรงในแบบฉบับ A/T ซึ่งสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง

    คือประมาณวิ่งไหลๆ ลื่นๆกว่าเดิม น่าจะประมาณนั้น แนะนำ Light Turbo หรือไม่ก็ Supercharger ไปเลยครับ

  8. แต่เพื่อให้การตรงกับคำถามของพี่ผู้ตั้งกระทู้ AT อยากโม

     

    ก็คงต้องทำท่อเส้นนึง กรองอากาศดีๆ กล่องจูน ที่ไม่ใช่ อีแมนเนท

     

    เปลี่ยนหัวเทียนเบอร์ 7 เปลี่ยนเชื้อเพลงเป็น E85 เปลี่ยนหัวฉีด ปั๊มติ๊ก ท่อยาง ลูกลอย กรองเบนซิน เพื่อรองรับ E85 ใส่ล้อฟรอจ 17 กว้างไม่เกิน8 ใส่พาร์ทน้อยๆ พาร์ทเดิมๆ ยิ่งลู่ลม

    รื้อเบาะหลัง ยางอะไหล่ ปรับตั้งคันเร่งให้ตอบสนองดีขึ้น

     

    ประมานนี้อะมั้งครับ ถึงจะได้กินรถ MT ที่เดินท่อเส้นนึง

     

     

    เกินไป .. เกินไปมากเลย

  9. สอบถามเพิ่มเติมอีกนิดครับ หลังจากที่ถ่าย flushing oil ออก

    เป็นไปได้หรือเปล่าครับ ที่จะมีบางส่วนเหลือติดค้างในเครื่อง แล้วจะมีผลอะไรกับเครื่องยนต์หรือเปล่าครับ

     

    หากน้องกังวลเรื่องแบบนี้

     

    - หลังจากถ่ายน้ำมันเครื่อง flushing oil ทิ้ง ให้เติมน้ำมันเครื่องจริงๆชนิดราคาถูกลงไป แล้วสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้

    ทำเหมือนขั้นตอนการ flushing (แต่รอบนี้ใช้น้ำมันเครื่องจริงๆ)

     

    - สักพักก็ถ่ายน้ำมันเครื่องถูกๆนั้นทิ้ง .. แล้วค่อยใส่น้ำมันเครื่องดีๆลงไป (double flushing)

     

    มีอะไรโพสไว้ หากว่างจะเข้ามาช่วยตอบ (เท่าที่รู้) ครับ

  10. หมายเหตุ การวัดที่เฮดเดอร์ หมายถึง วัดที่จุดร่วมของไอเสีย

    เครื่อง K เดิมๆมักจะเป็น 4 > 1 .. ดังนั้นเราวัดที่จุดร่วม 1 ครับ (ไม่ใช่วัดที่ 4)

  11. ขอบคุณครับพี่แซม

     

    ราคาแรงเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ

     

    สงสัยนิดนึงครับ ตามความเข้าใจของผมเฮดเดอร์คือท่อที่ออกมาจากกระบอกสูบเพื่อส่งต่อไปยังท่อไอเสีย ทำไมถึต้องไไปวัดค่าที่ Header หรือครับ

     

    วัดที่ใกล้ๆจุดออกของไอเสีย .. จะได้ค่า A/F ที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด

    คนไทย / จูนเนอร์ไทย .. มักจะมั่วๆ เลยแยกแยะกันไม่ออกว่าอะไร เป็นอะไร :(

  12. วัดแม่นที่สุด ต้องใช้ wideband ฝังไปที่เฮดเดอร์

    ต่อปลั๊กสาย ไปที่ A/F Meter ในห้องโดยสาร .. ใช้งบประมาณ +/- 8,000 บาท (อเมริกา)

     

    แต่หากใช้ของจีน ของไต้หวันก็จะถูกลงหน่อย

  13. ทำอย่างไรครับพี่แซม รบกวนช่วยบอกเป็นวิทยาทานหน่อยครับ

     

    วิธีการทำ flushing น้ำมันเครื่อง

     

    - ซื้อ flushing oil หนึ่งแกลลอน ราคาประมาณ 500 บาท

    - ถ่ายน้ำมันเครื่อง ของเดิมออกทิ้ง (แบบถ่ายปกติ) อย่าเพิ่งเอากรองเดิมทิ้ง

    - เอาน้ำมัน flushing oil (ที่ใสแบบตาตั๊กแตน) เติมใส่ลงในเครื่อง ทำแบบเติมน้ำมันเครื่องปกติทั่วไป

    - สตาร์ตเครื่องทิ้งไว้สัก 10 นาที

    - ถ่ายน้ำมัน flushing oil ทิ้ง

     

    ถึงตอนนี้ เราจะเห็นว่า .. น้ำมันที่ถ่ายทิ้ง ดำปี๋ .. ดำแบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อน

    ซากตะกอน ที่เคยตกค้าง หมกหมมในระบบเครื่องยนต์ จะออกมากับน้ำมัน flushing นั่นแหละ

     

    - สุดท้าย ถอกรองเดิมทิ้ง เอาน้ำมันเครื่องปกติ เทใส่เติมลงไป เหมือนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทั่วไป

     

    เสร็จสิ้นขบวนการ

  14. มองในมุมกลับกัน

     

    ทุกครั้งที่เราเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง .. ถ่ายออกหมดไหม

    ถ่ายออกไม่หมดแล้วมันไปค้างอยู่ตรงไหน .. ค้างอยู่นานเท่าใดแล้ว

     

    ค้างสะสมนานๆไปแล้วเกิดอะไรขึ้น .. สิ่งเหล่านี้คิดกันบ้างหรือเปล่า

     

    ลอง flush ดูสักครั้งแล้วน้องๆจะต้องตกตะลึง กับสิ่งที่ได้เห็น โดยเฉพาะตัวของน้ำมันที่ระบายออกมา

     

    ไม่เสียหายอะไรหรอกครับ .. ลองทำดู กล้าพูดแบบนี้เพราะเคยทำ และทำมานานหลายปีแล้ว

     

    ทุกคนสามารถ flush ด้วยตัวเองที่บ้านหรือที่อู่ไหนๆ ไม่ยากครับ (แต่เกียร์อาจจะยากนิดนึง)

  15. ขอบคุณครับ พี่แซม

    จากที่หาๆข้อมูลมา ก็ประมาณแบบที่ 1 อ่ะครับ แต่ว่า ผมถามเพิ่มนิดนึงนะครับ พี่แซม ถ้า รถผมมันติดแก้สอยู๋แล้วด้วย หลังจาก Reset ECU แล้ว ต้องจูนแก้สใหม่ ผมเข้าใจถูกมั้ยเอ่ย ?

     

    ผมไม่แน่ใจว่ามันใช่แบบนี้หรือเปล่านะครับ (ตามลิ้งค์ที่ผมเอามาแปะไว้ด้านบน โพสแรก)

    ว่าไว้ดังนี้

    -------------

    Step 01 : ดับเครื่องรถก่อนเลย

    Step 02 : ถอดขั่วแบต ขั่วลบนะครับ

    Step 03 : บิดกุญแจ On

    Step 04 : เปิดไฟหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที [เปิดไว้แต่ไฟหน้าไม่ติดหรอกครับ ต้องการให้มันกินกระแสไฟฟ้าให้หมดไม่เหลือสำรองไปเลี้ยง ECU]

    Step 05 : หลังจาก 10 นาที ก็ปิดไฟหน้า

    Step 06 : บิดกุญแจ Off

    Step 07 : ใส่ขั่วแบต ขั่วลบที่ถอดมานั้นแหละกลับเข้าทีครับ

    Step 08 : บิดกุญแจ On

    Step 09 : กดคันเร่งให้สุด และ ปล่อย ทำ 2 ครั้ง

    Step 10 : กดเบรคให้สุด และ ปล่อย ทำ 2 ครั้ง

    Step 11 : บิดกุญแจ Off

    Step 12 : Start เครื่อง

    Step 13 : กดคันเร่งและเลี้ยงรอบประมาณ 2000 รอบ โดยที่ไม่เปิดแอร์ และให้สังเกตุ พัดลมหม้อน้ำทำงาน 2 รอบ

    Step 14 : ปล่อยเครื่องเดินเบา สักครู่ 2 นาที และดับเครื่อง

    Step 15 : Start เครื่อง แล้วเปิดแอร์ ปล่อยเครื่องเดินเบาไปสัก 5 นาที

    Step 16 : ดับเครื่อง ตอนนี้ ECU เรียนรู้ค่าเริ่มต้นครบหมดแล้ว

    Step 17 : สามารถใช้งานปกติได้แล้ว และถ้าต้องการให้รถขับแบบ style ไหนก็นำไปใช้งานเลย และอย่างลืมตังกระจก

     

    เอาล่ะครับ ลองทำดูไม่น่าอยากเกินไปใครๆ ก็ทำได้นะครับไม่ต้องห่วง ค่อยๆ อ่านแล้วนึกตามก่อนทำจริงๆ ก็ได้

     

    PS . เกือบลืมสำหรับรถที่มีเครื่องเสียงหรือ Front ของ Honda ต้องเตรียม Security Code ไว้ด้วยนะครับเพราะว่าหลังจากถอดและใส่ตัวแบตแล้วเปิดวิทยุต้องใส่ Security Code ใหม่ไม่งั้นเปิดวิทยุไม่ได้นะ

    เครดิต : chaowarat191

     

    ไม่รู้ว่าวิธีการคล้ายๆกับแบบที่ 1 ของ พี่แซมมั้ยครับ ?

     

    ของพี่ ทำตามตำราฝรั่ง .. ไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ครับ

  16. แนะนำ K24A2 หากเบาๆก็ light turbo เหลือกินแล้วครับ

    หากคิดไปถ้าแข่ง ท้าวิ่งกับค่ายอื่น ก็ขยับจัดชุดเต็มได้เลย .. พื้นฐานมันให้อยู่แล้ว

     

    (แต่ K20Z มีหลายเวอร์ชั่นนะครับ ดูดีๆ)

  17. ขอบคุณข้อมูลพี่แซมด้วยครับ แล้วตอนนี้มีของก็อปที่ทำได้แบบของแท้หรือยังครับ

     

    ตอนนี้เท่าที่เห็น skunk ก็อป จะมีแบบที่ 1 อย่างเดียวครับ

    ก็อปแบบที่ 2 คงอีกไม่นาน

    .

    น้อง .. ที่ใช้ skunk ก็อป แบบที่ 1 แล้วปรับมุมได้น้อย .. โทรหาพี่ได้ จะบอกวิธีการแก้ไขให้ครับ

  18. น่าจะมีความหมายอยู่ 2 อย่าง

     

    1. reset กล่อง ECU ให้กลับไปใช้ค่าเดิมๆ standard ที่ติดมาจากโรงงาน หรือที่เรียกว่า ECU Learning

    แบบนี้ใครๆก็ทำได้หากรู้เทคนิควิธีการทำ (ผมทำให้รถตระกูลฮอนด้าไปแล้วไม่ต่ำกว่า 100 คัน)

     

    2. reset แบบล้างค่าเดิมทิ้ง แล้ว up ค่าใหม่ลงไป

    แบบนี้ใครๆก็ทำได้เช่นกัน หากมีเครื่องมือ อุปกรณ์ตัวช่วยที่เราเรียกว่า HIM - Honda Interface Module ตามรูปข้างล่าง

    (ขอโทษด้วย มีอยู่รูปเดียว ตามที่เห็น)

     

    HIM1A.jpg

     

    ตอนนี้มีอู่นอกหลายๆอู่ ที่สามารถทำได้เช่นเดียวกับในศูนย์ แต่การที่จะทำแบบข้อ 2 นั้น .. ต้องอยู่ในขั้นวิกฤติจริงๆ

    จึงจะทำให้ (ไม่ว่าในศูนย์ หรือนอกศูนย์) ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง

     

    กรณีของน้อง จขกท. นั้น ทำแบบข้อ 1 ก็เพียงพอแล้วครับ

  19. มีข้อแตกต่างอันนึงที่คนไม่ค่อยพูดถึง คือ skunk2 แท้ กับ buddy club สามารถปรับมุมได้เลยโดยไม่ต้องถอดปลายออกมาเพื่อปรับ

     

    สั่งเกตุที่น็อตล็อคจะมีสามตัว มีน็อตล็อคสองตัว น็อตตัวกลางเอาไว้หมุนปรับแคมเบอร์ แบบนี้จะดีตรงที่ไม่ต้องถอดน็อตตรงคอม้า ไม่ต้องถอดล้อก็ปรับได้

     

    skunk2 แท้

    g-447-be1b52acb771d93b1cc5a4f733a3c6eb8ec28cf9.jpg

     

    buddy club

    bcfdrrcamber.jpg

     

    skunk2 ก็อป สังเกตุตรงน็อตที่ล็อคมีตัวเดียว เวลาจะปรับต้องถอดออกจากคอม้ามาหมุนหัวลูกหมาก

    แล้วก็หมุนได้ทีละครึ่งรอบเพราะถูกจำกัดด้วยรูน็อตที่ยึดกับคอม้า ค่าแคมเบอร์จะเปลี่ยนประมาณ 0.15 องศาต่อการหมุนครึ่งรอบ

    ซึ่งแบบของแท้มันหมุนเท่าไหร่ก็ได้ ทำให้ของแท้จะปรับได้ละเอียดกว่าครับ

    06082011522.jpg

     

    แต่ความแข็งแรงของ skunk2 ก๊อป ดูไม่น่าเป็นห่วงครับ

    ที่เจอว่าหักหรืองอกันนี่ของไทยทำน็อตปลายลูกหมากเล็กๆครับ

     

    เข้าใจผิดนิดหน่อยครับ

     

    รูปแบบของ สกั๊ง ที่เห็นทั้งหมดเป็นของแท้ ครับ (เน้นว่ารูปแบบ - ของแท้)

     

    โดยสกั๊งรุ่นแรก ออกมาแบบที่ จขกท. ถ่ายให้ดูนั่นแหละ

     

    ส่วนสกั๊งที่ผม Ouote ในรูปนี้ เป็นเวอร์ชั่นที่ 2 ครับ

     

    (อย่าว่าอย่างโน้น อย่างนี้น่ะ สินค้าเกี่ยวกับของอเมริกา .. โทรปรึกษาผมได้

    ไม่เว้นแม้นแต่เจ้า EMUSA .. )

×
×
  • Create New...