Jump to content

Sam LADDER

CCTH Member
  • Posts

    35
  • Joined

  • Last visited

Everything posted by Sam LADDER

  1. คือหมายเลข 6 ตามไดอะแกรมที่คุณทอมมี่เอาให้ดู ทำไม ไม่เอาของ FB มาใส่ครับ
  2. พี่เห็นต่างน่ะ - ไหนๆก็เสียเงินแล้ว ควรใช้จานแบบ 2 ชิ้น และอัพขนาดไปจานเต็ม limit ของล้อ คือล้อ 17" สามารถลงจานได้ประมาณ 330 - 335 แล้วแต่ขนาดความใหญ่โตของตัวปั๊ม - จานโตๆ แบบชิ้นเดียว ข้อเสียคือหนัก หนักจนรู้สึกได้ว่าออกตัวแล้วอืด .. มันจะกินแรงกำลังของเครื่อง - ความหนาของจาน ให้ดูที่ spec ของตัวปั๊มเป็นหลัก +/- ได้นิดหน่อย เน้นไปทาง + จะดีที่สุด เช่นสเปคของปั๊ม จับจาน 28 mm. ก็ควรใช้จานไม่เกิน 29 mm. เป็นต้น ข้อนี้ มีเหตุผลเรื่อง ระยะการบีบตัวของลูกสูบ .. เข้ามาเกี่ยวข้อง - ระวังเรื่องความหนาของตัวจาน หลายๆร้านมักจะเอาจานหนาๆ มาปาดหน้าปาดหลัง เพื่อให้ฟิต / ลงตัวกับปั๊ม ข้อเสียคือ ระยะ Max / Min ของความหนาตัวจาน มันมี limit อยู่ .. หากบางเกิน limit ก็จะมีปัญหาเรื่องความแข็งแรง ฯลฯ
  3. ไหนๆก็วางแล้ว .. ไป K24A2 ดีกว่า วันใดนึกคึก ก็ซิ่งได้ไม่อายใคร ราคาคงไม่แตกต่างกัน
  4. ฮอนด้า .. วัดน้ำมันเกียร์ตอนดับเครื่อง - สตาร์ทรถสักพักนึง พอเครื่องร้อนหรือพัดลมทำงาน .. ดับเครื่อง - ทิ้งไว้สัก 30 วิ - 1 นาที แล้วค่อยดึงก้านวัด - ระดับน้ำมันเกียร์ที่เหมาะสม จะอยู่ประมาณรอยหยักของก้าน จำนวนการเติมน้ำมันเกียร์ ไม่แน่ ไม่นอน ผมถ่ายเอง ทำเอง .. ถ่ายทิ้งแบบเนียนๆ ให้หยดหมดทุกเม็ด .. ก็ใช้มากกว่าศูนย์ (เปิดคู่มือดูด้านหลังๆได้)
  5. เอารถเข้าศูนย์ ให้เขาลบโค๊ด airbag ให้ครับ (เอาไปหาผมก็ได้ จะลบให้)
  6. ล้างลิ้นมี 2 วิธีครับ คือถอดก็ได้ / ไม่ถอดก็ได้ ช่างบางคนไม่อยากถอด เพราะลิ้นไฟฟ้ามีโอกาสเสี่ยงกับผลที่ตามมา หากถอดมาล้างแล้วผล effect ตามมาเช่นรอบเดินเบาไม่นิ่ง .. ก็ทำ ecu learning ฯลฯ
  7. โดยปกติทั่วไป หากไฟเกียร์ D กระพริบ แสดงว่ามีปัญหาในระบบการขับเคลื่อน ซึ่งหมายถึงตัวเกียร์ และ sensor ที่ควบคุมระบบเกียร์ - อาการแบบนี้หากมีไฟ check engine ขึ้นโชว์ด้วย เราก็จะวิเคราะห์ปัญหาได้ถูกต้องแม่นยำ ด้วยการใช้ OBDll SCANNER แบบที่ช่างทำให้ .. แต่ - ช่างที่น้องเจอ คงไม่มีประสพการณ์ หรือมีความรู้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะ กลายเป็นให้ล้างเกียร์ ซึ่งที่ถูกต้องควรมุ่งไปที่ระบบไฟ หรือตัว Sensor ก่อน - หากระบบไฟ ระบบ sensor ไม่มีปัญหา .. ก็แสดงว่าตัวเกียร์ใกล้จะได้อายุของมันแล้ว (ประมาณ +/- 250,000 กม.) .. โอเวอร์ฮอล ก็คง +/- 25,000 บาท . . - หากเป็นผม .. การล้างเกียร์นั้นจะใช้กับรถที่มีอายุพอประมาณระดับหนึ่งเท่านั้น จะไม่ใช้กับรถที่มีอาการแบบนี้ (เพราะถือว่าสายเกินไปนิดนึง) ฯลฯ
  8. ผมเคยแนะนำน้องๆ ไปหลายคน ให้เล่นเครื่องตัวนี้แทน K20 ฝาแดง เพราะราคายังไม่แรง .. โมนิด โมหน่อย ไปไกลกว่าฝาแดงเยอะ วางแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะทอร์คเยอะ ฯลฯ
  9. มันยากที่จะชี้ขาดว่าใครกินใคร ใครชนะใคร .. เพราะมีปัจจัยหลายๆอย่าง จริงอยู่ที่ M/T จะได้เปรียบ A/T .. แต่หากเป็นรถบ้านเดิมๆทั่วไปเหมือนกัน รุ่นเดียวกัน แต่งดีๆ มันก็ไม่หนีกันเท่าไหร่ สรุปคือใช้งานทั่วไป M/T A/T ไม่หนีกัน แต่หากแต่งเพื่อการแข่งขัน จุดอ่อนของ A/T ก็อยู่ที่ระบบเกียร์เท่านั้น คนเลยไม่นิยมกัน คำถามของ จขกท. คือ อยากแรงในแบบฉบับ A/T ซึ่งสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง คือประมาณวิ่งไหลๆ ลื่นๆกว่าเดิม น่าจะประมาณนั้น แนะนำ Light Turbo หรือไม่ก็ Supercharger ไปเลยครับ
  10. แสนนึง ได้เยอะเลย - ทำไอดี intake - ทำไอเสีย exhaust - ทำระบบบางอย่างหรือหลายอย่างของตัวเครื่อง เช่น ...... ฯลฯ
  11. หากน้องกังวลเรื่องแบบนี้ - หลังจากถ่ายน้ำมันเครื่อง flushing oil ทิ้ง ให้เติมน้ำมันเครื่องจริงๆชนิดราคาถูกลงไป แล้วสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ ทำเหมือนขั้นตอนการ flushing (แต่รอบนี้ใช้น้ำมันเครื่องจริงๆ) - สักพักก็ถ่ายน้ำมันเครื่องถูกๆนั้นทิ้ง .. แล้วค่อยใส่น้ำมันเครื่องดีๆลงไป (double flushing) มีอะไรโพสไว้ หากว่างจะเข้ามาช่วยตอบ (เท่าที่รู้) ครับ
  12. หมายเหตุ การวัดที่เฮดเดอร์ หมายถึง วัดที่จุดร่วมของไอเสีย เครื่อง K เดิมๆมักจะเป็น 4 > 1 .. ดังนั้นเราวัดที่จุดร่วม 1 ครับ (ไม่ใช่วัดที่ 4)
  13. วัดที่ใกล้ๆจุดออกของไอเสีย .. จะได้ค่า A/F ที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด คนไทย / จูนเนอร์ไทย .. มักจะมั่วๆ เลยแยกแยะกันไม่ออกว่าอะไร เป็นอะไร
  14. วัดแม่นที่สุด ต้องใช้ wideband ฝังไปที่เฮดเดอร์ ต่อปลั๊กสาย ไปที่ A/F Meter ในห้องโดยสาร .. ใช้งบประมาณ +/- 8,000 บาท (อเมริกา) แต่หากใช้ของจีน ของไต้หวันก็จะถูกลงหน่อย
  15. วิธีการทำ flushing น้ำมันเครื่อง - ซื้อ flushing oil หนึ่งแกลลอน ราคาประมาณ 500 บาท - ถ่ายน้ำมันเครื่อง ของเดิมออกทิ้ง (แบบถ่ายปกติ) อย่าเพิ่งเอากรองเดิมทิ้ง - เอาน้ำมัน flushing oil (ที่ใสแบบตาตั๊กแตน) เติมใส่ลงในเครื่อง ทำแบบเติมน้ำมันเครื่องปกติทั่วไป - สตาร์ตเครื่องทิ้งไว้สัก 10 นาที - ถ่ายน้ำมัน flushing oil ทิ้ง ถึงตอนนี้ เราจะเห็นว่า .. น้ำมันที่ถ่ายทิ้ง ดำปี๋ .. ดำแบบที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ซากตะกอน ที่เคยตกค้าง หมกหมมในระบบเครื่องยนต์ จะออกมากับน้ำมัน flushing นั่นแหละ - สุดท้าย ถอกรองเดิมทิ้ง เอาน้ำมันเครื่องปกติ เทใส่เติมลงไป เหมือนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทั่วไป เสร็จสิ้นขบวนการ
  16. มองในมุมกลับกัน ทุกครั้งที่เราเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง .. ถ่ายออกหมดไหม ถ่ายออกไม่หมดแล้วมันไปค้างอยู่ตรงไหน .. ค้างอยู่นานเท่าใดแล้ว ค้างสะสมนานๆไปแล้วเกิดอะไรขึ้น .. สิ่งเหล่านี้คิดกันบ้างหรือเปล่า ลอง flush ดูสักครั้งแล้วน้องๆจะต้องตกตะลึง กับสิ่งที่ได้เห็น โดยเฉพาะตัวของน้ำมันที่ระบายออกมา ไม่เสียหายอะไรหรอกครับ .. ลองทำดู กล้าพูดแบบนี้เพราะเคยทำ และทำมานานหลายปีแล้ว ทุกคนสามารถ flush ด้วยตัวเองที่บ้านหรือที่อู่ไหนๆ ไม่ยากครับ (แต่เกียร์อาจจะยากนิดนึง)
×
×
  • Create New...