Jump to content

ken_style

CCTH Crew
  • Posts

    381
  • Joined

  • Last visited

  • Days Won

    2

Everything posted by ken_style

  1. ภาพจะมีด้วยกัน 3 ช่วงน่ะครับ จะทะยอยลง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอลงภาพช่วงแรกก่อนน่ะครับ คือตั้งแต่จุดรวมสุดท้ายไปยังวัดโบสถ์วรดิตถ์ จ.อ่างทอง
  2. ..วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2556 พวกเราชมรม Civic Club Thaiand (CCTH) ได้จัดโครงการจิตอาสา..เพื่อน้อง ช่วยเหลือเด็กกำพร้า ณ.วัดโบสถ์วรดิตถ์ จ.อ่างทอง ทีมงาน www.civicclubthailand.com ได้รวบรวมทั้งเงิน และิ่สิ่งของเครื่องใช้ อุปกรณ์กีฬาที่จำเป็นต่างๆไปบริจาค สำหรับเด็กๆยากจนและกำพร้าเหล่านี้ รวมถึงได้จัดสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัยหน้าตัก 25 นิ้วนำไปประดิษฐาน ณ.วัดโบสถ์วรดิตถ์แห่งนี้ด้วย ขออนุโมทนาบุญ อันผลบุญใดๆที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการทำกุศลฯแก่พุทธศาสนาในครั้งนี้ขอให้เกิดแก่สมาชิก CCTH ทุกท่านโดยทั่วถึงกันครับ เริ่มด้วยภาพผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของเราครับ
  3. เป็นเส้นทางท่องเที่ยวกึ่งเดินป่า ในตำนานเลยน่ะครับที่นี่เป็นที่ยอดฮิต ยุคเดียวกับภูกระดึง เมื่อ 20 ปีที่แล้วโน่นแหละครับ แต่ยังไม่เคยขึ้นเหมือนกัน
  4. แต่ถือว่าสุดยอดมาก เปรียบเทียบกับน้ำหนักตัว ถ้าใจสู้ซะอย่างไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ถึง
  5. ไม่ถึงกับต้องปีนครับ เดินไต่ระดับขึ้นๆลงๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าเปรียบกับเขาช้างเผือกไม่ทิ้งกันเท่าไหร่ แต่ระดับความสูงจะต่างกัน เพราะที่ม่อนจองรู้สึกจะติดอันดับ top 10 เรื่องระดับความสูงของยอดดอยในเมืองไทย แต่ช่วงที่ต้องนั่ง 4 wd เข้าไปนี่สิ ทรมานสุดๆ น้ำพริกไป อช.รามคำแหงขึ้นเขาหลวงหรือเปล่าครับ
  6. ถึงแม้เขาจะเปิดให้เที่ยวมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่ป่าก็ยังไม่บอบช้ำมาก ดีที่เขายังมีช่วงปิดป่าหน้าร้อน เพราะข้างบนจะมีไฟป่า ทำให้ป่าฟื้นคืนสภาพได้บ้าง แต่ตรงจุดกางเต้นท์ค่อนข้างเห็นร่อยรอยของนักท่องเที่ยวที่ไม่ยอมเก็บขยะลงมาด้วยใช้หมดแล้วก็โยนทิ้งไว้ตรงนั้น
  7. ช่วยได้เยอะเลยเก๋ แต่เวลาหาไฟแช็คควานหาอยู่นั้นแหละมันอยู่กระเป๋าไหนฟร่ะ
  8. คืนนั้นตั้งใจว่าจะถ่ายดาว แต่เห็นเป็นข้างขึ้นประกอบกับอากาศ่อนข้างหนาวต่ำกว่า 10 องศา ซดเหล้าต้มของชาวมูเซอเข้าไปหน่อยเดียวรู้สึกเหมือนกินอัลกอฮอลล้างแผล มันบาดปากมากเลย เลยยกให้ลูกหาบไปกิน ส่วนตัวพก regency มาแบนนึงซดกันในเต้นท์ก่อนนอนกับเพื่อน หลับสบาย ตื่นมา ไม่รู้น้ำ้้ค้างเข้ามาในเต้นท์ได้ไงเปียกไปหมด เช้าตื่นขึ้นมาเดินลงจากดอยไปขึ่้้นรถกลับ กทม ถึง ประมาณ ตี 3 เช้าวันจันทร์ เป็นทริปที่เดินทางยาวไกลมากแต่คุ้ม มีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับคืนสู่ธรรมชาติ...ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชม เจอกันใหม่ทริปหน้า
  9. หันมาอีกด้าน เห้นดวงจันทร์กำลังขึ้น เลยให้เพื่อนไปทำท่าเดาะวอยเลย์บอลซะเลย
  10. เราเดินมาถึงบริเวณ สนามกอลฟ์ช้างอีกครั้ง เพื่อที่จะนั่งมองดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า พอดีมีเรื่องบินไอพ่นบินมาเข้าฉากพอดีเลยกดมา 1 ใบ แล้วก็เกิดไอเดียเล่นกับดวงอาทิตย์ซะเลย
  11. เดินมาได้ระยะนึงพวกเราตัดสินใจไม่ไปต่อเพราะคิดว่า มุมตรงนี้สวยที่สุดแล้ว และกลัวกลับลงมาไม่ทันฟ้าจะมืดซะก่อน เลยนั่งเล่น นอนเล่น มองดูยอดหัวสิงห์ และมองทิวทัศน์รอบๆบริเวณนั้น ซึ่งมันสวยมากไม่รู้จะบรรยายเป็นคำพูดออกมาได้อย่างไร 5 โมงกว่าแล้ว ลมหนาวเพิ่มความเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มทนไม่ไหว เลยกลับที่พักดีกว่า ..
  12. หลังจากพักเหนื่อยกันสักครู่นึง เราก็ไปชมวิวกันบนยอดดอยหัวสิงห์ดีกว่า ออกจากแคมป์มาเจอมุมย้อนแสงซึ่งเป็นมุมมหาชนมุมนึงพอดี จากการที่เคยเห็นรูปที่เขาถ่ายกันมา งต้องรอให่ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้ามากกว่านี้ ตรงจุดที่เรายืนนี้จะเป็นทุ่งหญ้าซึ่งเขาเรียกว่า สนามกอล์ฟช้าง ก็สงสัยว่าทำไมเขาถึงเรียกชื่อนี้ พอเดินขึ้นไปบนสันเขามองลงมาเห็นหลุมขนาดใหญ่อยู่ริมทุ่งหญ้า ก็เลยเข้าใจว่าชื่อนี้คงมาจากทุ่งหญ้าและหลุมขนาดช้างลงไปนอนได้นี่เอง
  13. นี่ืืคือบริเวณที่ตั้งแคมป์ของเราเดินแยกซ้ายจากแนวสันเขาลงมาในหุบ จัดแจงหาทำเลกางเต้นท์ คณะเรามาถึงช้ากว่าอีก 2 คณะเขาเลยได้ทำเลตรงบริเวณนี้ไป ส่วนที่เห็นเป็นลำธารเล็กๆนั้นคือไหลมาจากตาน้ำบนเขาอีกทีทางเจ้าหน้าที่อุทยานเขาเลยเอาแป๊ปมาต่อท่อไว้ เราก็คิดไว้ในใจคงเป็นลำธารเล็กพอจะลงไปจุ่มให้หายเหนื่อยได้แต่พอมาเห็นสภาพแล้วอย่าว่าแต่อาบเลย กินเข้าไปจะเป็นไรหรือเปล่าน่ะ แต่เขาก็ใช้ดื่มกินกัน พวกเดินป่าขาประจำเขาจะพกที่กรองน้ำมาด้วย เราก็เลยได้อาศัยของเขานี่แหละ หลังจากจัดแจงสัมภาระเข้าที่เข้าทางแล้วก็นอนแก้เมื่อยสักครู่ก่อนเดินขึ้นยอดหัวสิงห์ ยอดที่สูงที่สุดของดอยม่อนจอง นอนำนวนเวลาดูตอนนี้ 4 โมงเย็นแล้วเท่ากับว่า เราใช้เวลาเดินทางจากกทม มาถึงที่พัก19 ชม. >< เดินทางโดยรถยนต์ 15 ชม เดินป่า อีก 4 ชม
  14. หลังจากพักเหนื่อยดื่มน้ำกันเรียบร้อยแล้ว (ถ้าใครดื่มน้ำเก่งไม่กลัวหนักก็แบกขึ้นไปได้เลย) ส่วนของพวกผมจะติดตัวกันคนละ 2 ขวด เพราะข้างบนเขาบอกมีตาน้ำไว้ดื่มกินหุงหาอาหารได้ ไกด์นำทางบอกว่าเราเดินกันมาครึ่งทางแล้ว ข้ามเขาไปอีกลูกก็ถึงแล้ว ซึ่งมองไปก็คิดว่าไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ความจริงต้องเดินลงไปในหุบก่อน และต่อจากนั้นทางขึ้นมันจะเป็นแนวยาว 45 องศากว่าจะถึงยอด ซึ่งเรียกความเมื่อยล้าได้มากจุดหนึ่งเลยที เดียว เดินไป 5-6 ก้าวก็ต้องพักเป็นระยะ หันหลังมองกลับไปยังเนินที่เรามองมาเนินลูกที่เรายืนอยู่นี้ มันใช้เวลามากเลยทีเดียว หลังจากผ่านจุดนี้ไปแล้วทางเดิน จะเป็นทางเดินบนแนวสันเขา ไม่ลำบากเดินชมวิวสบายๆ จะมองเห็นลำน้ำแม่ตื่นอยู่ลิบๆข้างล่าง แล้วมีขึ้นลงเนินอีกนิดหน่อยก็ถึงที่พักแล้ว
  15. เราเดินข้ามเขาไปได้ 2 ลูก ป่าก็เริ่มเปลี่ยนไป บนยอดเขาจะเป็นทุ่งหญ้าสะวันน่า เพราะต้องโดนแนวลมพัดผ่านตลอดปี พืชพรรณเลยต้องปรับสภาพเพื่อให้ทนต่อภูมิอากาศบริเวณนั้น แต่อีกฝั่งมีไม้ใหญ่ขึ้นเต็มไปหมดเพราะว่ามันอยู่ในแนวหุบเขา ซึ่งไม่มีแนวลมมาปะทะนั้นเอง เราเดินตามเหลี่ยมเขาขึ้นมาเจอจุดพักจุดหนึ่งที่เรียกว่าหินช่อ ลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่วางซ้อนกันอยู่ ใครมีแรงเหลือก็จะปีนขึ้นไปถ่ายรูปกัน ส่วนผมไม่ไหวขอพักชมวิวก่อน
  16. หลังจากกินข้าวกันเสร็จก็ไม่รอช้าสะพายเป้ของใครของมันขึ้นบ่า พยายามเอามาให้น้อยที่สุด เดินไปไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกมันหนักขึ้นทุกที ส่วนลูกหาบทั้งเสบียงอาหาร เต้นท์ สะพายขึ้นหลังเดินตัวปลิวล่วงหน้าเราไปเรียบร้อย ลักษณะเส้นทางจะเริ่มไต่ระดับขึ้นทันที ไม่มีให้วอร์มทางราบก่อนเหมือนเขาช้างเผือก ทำให้รู้ึสึกเหนื่อยมากเป็นพิเศษ สภาพป่าไม้เป็นไม้เบญจพรรณ ผสมป่าสนเขาในช่วงแรก และความชุ่มชื้นของผืนป่าทำให้มีมอส ไลเคน ปกคลุมตามต้นไม้อยู่มากมาย รวมทั้งกล้วยไม้ชนิดต่างๆ การเดินทางช่วงแรกนี้อากาศเย็นสบายไม่ร้อน แต่ต้องมีทั้งข้าม ทั้งลอด ไม้ล้มที่มีเป็นระยะ ๆ
  17. หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่เสร็จก็เดินทางเข้าไปทางหมู่บ้านมูเซอดำ ซึ่งป้ายหน้าหมู่บ้านเขียนติดไว้หน้าปากทางเข้าเลยว่า ห้ามนำสุราข้างนอกเข้ามาภายในหมู่บ้าน เราก็นึกว่าหมู่บ้านนี้ดีน่ะ ห้ามกินเหล้า แต่ที่ไหนได้ คือภายในหมู่บ้านเขาต้มเหล้าไว้ขายเอง ซึ่งเป็นเหล้าที่เขาเรียกว่า "ดาวลอย" แค่ชื่อก็คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณก็น่าจะนึกภาพออกน่ะครับ พวกเราจอดแวะหิ้วกันขึ้นไปพอแก้หนาวกันคนละขวด 2 ขวดเพราะขนาดอุณหภูมิพื้นราบตอนกลางคืนก็ประมาณ 17 องศาแล้วบนยอดดอยคงสาหัสกว่านี้ พวกเราเดินทางต่อโดยอาศัยรถ 4 wd โดยมีชาวเขาเผ่ามูเซอเป็นคนขับ เพราระว่าเส้นทางที่เราจะไปนั้นเป็นทาง offroad ขึ้นเขาลงเขา ต้องอาศัยคนพื้นที่ซึ่งชำนาญในการขับเป็นอย่างมากเพราะข้างทางจะเป็นเหว จากหน่วยมูเซอ ยืนหลังรถ 4wd ไปประมาณ 20 กิโลใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่งไปถึงจุดเริ่มเดินเป็นอะไรที่สาหัสมาก ต้องยืนเกร็งแขนจับราวของตัวรถ ที่พร้อมจะสะบัดให้เราล่วงลงมาจากรถได้ตลอดเวลา พอถึงจุดเริ่มเดินเรามาถึงเวลา เที่ยงครึ่งพอดีคำนวนเวลาเดินทางรถจาก กทม มาใช้เวลาไปแล้ว 15 ชม พวกเราแวะพักกินข้าวเพื่อเรียกเรี่ยวแรงก่อน และได้ขอพรพระที่ประดิษฐานอยู่ตรงทางขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจในการเดินทางขึ้นดอยในครั้งนี้...
  18. หลังจากถ่ายภาพกันพอเป็นพิธีแล้ว ก็มุ่งสู่ หน่วยมูเซอ อ.อมก๋อยทันที เพื่อไปติดต่อลูกหาบและเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะพาไปยังดอยม่อนจอง
  19. ออกจากออบหลวงเราก็มุ่งหน้าู่ อ.อมก๋อย เพื่อไปยังหน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ แต่ระหว่างทางจอดแวะถ่ายภาพกันที่สถานีวนวัฒนวิจัย บ่อแก้ว หรือที่รู้จักกันว่าสวนสนบ่อแก้ว ซึ่งสถานที่นี่หลายคนเห็นภาพแล้วนึกถึงเกาะนามิ ประเทศเกาหลี ระหว่างทางมีแก็งค์มอไซด์วัยรุ่นของเชียงใหม่ขับกินลมชมวิวกันมา ซึ่งน่าอิจฉาพวกเขาจริงๆ ที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอันมากมายของเมืองเชียงใหม่
  20. ทริปนี้จัดขึ้นอย่างรีบด่วน ด้วยความที่ใกล้จะหมดหนาวแล้วและเป็นครั้งแรกของผมที่จะได้ไปสุดอากาศบนดอยทางภาคเหนือ ไม่อยากพลาดโอกาสทองในครั้งนี้ จึงรวบรวมสมาชิกที่มีใจรักเดินป่าได้ 3 คนรวมผมด้วยอีก1 คนเป็นแก็งค์เดิมที่ไปปีนเขาช้างเผือกด้วยกัน ทริปนี้เราไปแจมกับคนอื่นอีกตามเคยเพราะขี้เกียจขับรถไปเอง เลยไปกับทัวร์เดินป่าของป๋าคมรัฐ www.trekkerhut.com เริ่มออกเดินทางกัน 3 ทุ่มครึ่งวันที่ 25 ม.ค วิ่งไปทาง อ.เถิน ลี้ ฮอด แล้วไปแวะพักกินข้าวเช้ากันตอน 6 โมงเช้าที่ อช.ออบหลวง ใช้เวลาเดินทางช่วงแรก 8 ชม
  21. .......ดอยม่อนจอง เป็นดอยสวยมากๆ อีกดอยหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักจะไม่ค่อยรู้จัก บางคนได้เคยได้ยินได้ฟังมาบ้างเกี่ยวกับดอยม่อนจองว่าที่นี่เป็นแหล่งที่อยู่ของเลียงผา กวางผา ดอยม่อนจองไม่ใช่อุทยานแห่งชาติเป็นเพียงเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าสังกัดอยู่กับเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอมก๋อย ผืนป่าดอยม่อนจองเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำปิงที่ไหลลงสู่เขื่อนภูมิพล ในด้านการท่องเที่ยว ดอยม่อนจองเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม บนเส้นทางเดินบนสันดอยไปสู่ยอดสูงสุดกว่า 3 กิโลเมตรเป็นจุดชมวิวที่เปิดโล่ง ทางด้านซ้ายเป็นหน้าผาสูงมองลงไปจะเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ทางด้านขวาเป็นป่าทึบซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า และป่าทางด้านซ้ายนี้ยังมีพันธ์ไม้ที่สำคัญคือต้นกุหลาบพันปี มีขึ้นอยู่เป็นดงๆ แต่ละต้นมีขนาดใหญ่มากเรียกได้ว่าทีนี่เป็นแหล่งของกุหลาบพันปีที่สมบูรณ์มาก ในช่วงฤดูหนาวจะออกดอกสีแดงสะพรั่งงดงามยิ่งนัก เมื่อกุหลาบพันปีมีดอกก็จะเป็นจุดดึงดูดให้นกสวยงามนานาชนิดมารวมกันที่นี้เพื่อดูดกินน้ำหวาน นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวในช่วงเวลานี้ก็จะได้เห็นทั้งดอกกุหลาบพันปีและได้ดูนกสวยงามอีกด้วย ที่ตั้ง ดอยม่อนจอง ตั้งอยู่กลางป่าลึกของผืนป่าอมก๋อย อยู่ในพื้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากอำเภอฮอด 145 กิโลเมตร ทิศตะวันออกจรดกับเขื่อนภูมิพล ด้านทิศตะวันตกติดกับถนนสายอมก๋อย-บ้านแม่ตื่น ทิศเหนือจรดกับพื้นที่อำเภอดอยเต่า ด้านทิศใต้จรดกับลำห้วยแม่ตื่นที่ไหลลงสู่เขื่อนภูมิพล ลักษณะของดอยม่อนจองหากดูจากภาพถ่ายทางอากาศก็จะเห็นเป็นแนวหน้าผายาวเป็นแนวกว่า 3 กิโลเมตร โดยมียอดดอยม่อนจอง ( ศรชี้) เป็นจุดสูงสุด จุดนี้มีชื่อเรียกว่าหัวสิงห์ เพราะมีลักษณะเหมือนหัวสิงโต ดอยม่อนจองมีความสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของยอดดอยสูงของไทย บางตำราก็ว่าสูง 1,886 เมตร บ้างก็ว่า 1,929 เมตร ส่วนตัวเลขจริงๆ สูงเท่าไรกระผมก็ไม่รู้หรอกรู้แต่ว่าสวย จากจุดกางเต็นท์พักแรมด้านซ้ายของภาพเมื่อเดินขึ้นยอดสูงสุดก็จะต้องเดินมาตามทางเดินบนสันเขา ( ดังภาพข้างล่าง) ระหว่างทางเดินขึ้นสู่ยอดหัวสิงห์จะเห็นวิวที่สวยงามมากๆ ชมวิวแบบโล่งตลอดทางเดินทางยาวเหยียด แล้วยิ่งในช่วงเช้าหากมีทะเลหมอกในหุบเขาเบื้องล่างก็จะยิ่งสวยงามมาก บริเวณด้านทิศตะวันออกของสันดอยเป็นป่าทึบ เป็นต้นน้ำลำธาร นักท่องเที่ยวก็ได้อาศัยแหล่งน้ำจากลำธารเล็กๆ บนผืนป่าแห่งนี้ใช้หุงหาอาหาร
×
×
  • Create New...