vittyz Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 ลอง search ดู มี 2 กระแส คือ 1. ติดแล้ว แย่ลงนิดหน่อย ลิ้นปีกผีเสื้อ น้ำมันเครื่อง ดำ ไว 2. ติดแล้ว เหมือนเดิม หรือ ดีขึ้นนิดหน่อย อยากทราบว่า ระหว่างกรองอากาศแบบเดิม กับ แบบ K&N ที่วางแทนที่ได้เลย แบบไหนดีกว่ากันครับ และมีผลกับเครื่องมากหรือป่าว Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
thaihack Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 รวมๆ ดีขึ้นประมาณ 5% ครับ -วิ่งดีขึ้น -ประหยัดน้ำมันขึ้น ข้อเสีย ต้องหมั่นล้างบ่อยๆครับ สัก5000โล กำลังดี OxyBIG and nattakung 2 Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
chanonk Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 รวมๆ ดีขึ้นประมาณ 5% ครับ -วิ่งดีขึ้น -ประหยัดน้ำมันขึ้น ข้อเสีย ต้องหมั่นล้างบ่อยๆครับ สัก5000โล กำลังดี หนับหนุนอีกเสียงครับ ผมใช้อยู่เหมือนกัน :D Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
jeedjardclub Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 ผมก็ใช้อยู่ครับ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
vittyz Posted June 15, 2012 Author Report Share Posted June 15, 2012 น่าสน ดีครับ เพราะ ของผมนี่่ออกรถมาใกล้จะหมื่นโลแล้ว แกะดูก็ยังไม่ดำมาก คิดว่าจะเปลี่ยนก่อนเลยดีไหม แต่ว่า จะมีผลต่อเครื่องไหมครับ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
Endless Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 ผมว่ามันอยู่ที่การดูแลรักษาด้วยหมั่นล้าง ชุบน้ำยาเหมาะสม ก็น่าจะดีครับ แต่ผมไม่ชำนาญเลยขอใช้กรองเดิมๆแทนครับ ^^~ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
genicide Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 เอาแบบตรงๆไม่มีกัก ของเดิมดีสุดเชื่อผมใช้มาหมดแล้ว Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
pooooom Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 ใช้อยู่ครับ ชอบของK&Nมากกว่าของเดิม ของเดิมมันตื้อๆ แต่ ของK&Nมันไหลกว่า Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
1100pm Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 รู้สึก จะมีคนทดสอบ ขึ้น DYNO แล้วนะ ยิ่งกว่านั้น ยังมีบางคนถอดกรองออกด้วย เท่าที่จำได้ผลออกมาไม่แตกต่างครับ เดี่ยวรอเจ้าตัวออกมายืยยันอีกทีล่ะกันนะครับ ผมจำ Log-in ไม่ได้จริงๆว่าใคร แต่ข้อดีที่เห็นกันได้จะจะก็คือระยะยาวประหยัดนี้แหล่ะ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
takkapon Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 บอกตามตรงนะครับของเดิมจากศูนย์คือที่สุดครับ อยากได้ k&n ผมมี เอามะมือสอง กิ๊ปๆ ใส่แล้ววิ่งดีขึ้นจริง แต่น้ำมันเครื่องดำไวมาก แล้วแต่ท่านเลย Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
jink Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 บอกตามตรงนะครับของเดิมจากศูนย์คือที่สุดครับ อยากได้ k&n ผมมี เอามะมือสอง กิ๊ปๆ ใส่แล้ววิ่งดีขึ้นจริง แต่น้ำมันเครื่องดำไวมาก แล้วแต่ท่านเลย ขอราคาหน่อยจิ อยากรู้ว่ามันดีมั้ย takkapon 1 Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
AntiSpy@ Posted June 15, 2012 Report Share Posted June 15, 2012 ของแบบนี้ มันใด้อย่างเสียอย่าง แล้วแต่ความรู้สึก จขกท.เลย Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
vittyz Posted June 15, 2012 Author Report Share Posted June 15, 2012 บอกตามตรงนะครับของเดิมจากศูนย์คือที่สุดครับ อยากได้ k&n ผมมี เอามะมือสอง กิ๊ปๆ ใส่แล้ววิ่งดีขึ้นจริง แต่น้ำมันเครื่องดำไวมาก แล้วแต่ท่านเลย ทำไมน้ำมันเครื่องดำไวอ่ะครับ ฝุ่นเข้าเครื่องไวหรอครับ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
BaLL182 Posted June 16, 2012 Report Share Posted June 16, 2012 แบบไหนดีกว่า ตอบยาก กรอง K&N อาจไม่ละเอียดเท่าของศูนย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เครื่อง พัง เร็วกว่าแต่อย่างใด เอาเป็นว่า ถ้าใครคิดว่า คุ้มค่า จ่ายเงินทีเดียว ไม่ต้องใช้ได้ถึง ล้านกิโล แบบที่เขาโฆษณาหรอก แค่ซัก แสนโล แล้วเปลี่ยนใหม่่ ผมก็ว่าคุ้ม น่าสนใจน่ะ สำหรับคนที่ไม่อยากเปลียนกรองศูนย์บ่อยๆ แต่ถ้าใครขี้เกียจต้องมานั่งล้าง เพราะคิดว่าล้างแล้วก็งั้นๆ เปลี่ยนใหม่ดีกว่า ก็ใช้ของศูนย์ก็ได้ครับ เปลี่ยนบ่อยๆก็ดีเหมือนกัน @Jo and Dirty Bit 2 Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
Dirty Bit Posted June 16, 2012 Report Share Posted June 16, 2012 ในความคิดเห็นของผมครับ กรอง K&N ข้อดี ความละเอียดของกรองน้อยกว่าของศูนย์ ทำให้อากาศไหลเข้าได้มากชึ้น, ทนทาน สามารถใช้งานได้ หนึ่งล้าน กิโลเมตร ตามสเปค ข้อเสีย ต้องล้างทำความสะอาด ชโลมน้ำยาเคลือบเอง ครับ กรอลศูนย์ ข้อดี ความละเอียดของกรองมากกว่า ทำให้สามารถดักจับสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง ได้ดี, เปลี่ยนใหม่เมื่อถึงกำหนดเปลี่ยน สะดวก ข้อเสีย นำกลับมาใฃใหม่เรื่อยๆ ไม่ได้ i_deaw 1 Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
Endless Posted June 16, 2012 Report Share Posted June 16, 2012 เคยอ่านเจอว่าถ้าชโลมน้ำยามากไปอาจทำให้ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกได้ ปัญหาคือชโลมเท่าไรจึงจะเหมาะสมครับ อยากให้แนะนำวิธีหน่อยครับ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
jackyjjj Posted June 18, 2012 Report Share Posted June 18, 2012 เคยอ่านเจอว่าถ้าชโลมน้ำยามากไปอาจทำให้ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรกได้ ปัญหาคือชโลมเท่าไรจึงจะเหมาะสมครับ อยากให้แนะนำวิธีหน่อยครับ พ่นน้ำยาเฉพาะด้านที่อากาศเข้าครับ ด้านอากาศออกไม่ต้องพ่น พ่นบางๆก็พอครับไม่ต้องให้เยิ้ม Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
golf_pdt31 Posted June 18, 2012 Report Share Posted June 18, 2012 เก็บข้อมูลครับ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
OnlyMii Posted June 18, 2012 Report Share Posted June 18, 2012 ส่วนตัว เคยใช้ ของ HKS ผมว่าให้ความรู้สึก ลื่นไหล กว่า กรองศูนย์ ครับ... Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
mnirun Posted June 18, 2012 Report Share Posted June 18, 2012 ขอเอาข้อมูลเก่า มาเล่าใหม่นะครับ ประเภทของกรองอากาศหลักๆ ก็มี 1. กรองกระดาษ (กรองแห้ง) กรองเดิมติดรถเป็นแบบแห้ง ตัวแผ่นกรองทำจากกระดาษ (dry, paper filter) แลัวพับเป็นจีบ (pleated) เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าสัมผัสในการกรองอากาศให้มากขึ้น กรองฝุ่นผงได้ดีที่สุด แต่อากาศไหลผ่านได้ไม่ดี ไม่สามารถทำความสะอาดได้ ทำได้เพียงเป่ากรองเพื่อลดฝุ่นที่เกาะอยู่บนผิวกระดาษ อายุการใช้งาน 20,000 กิโลเมตร 2. กรองแผ่นโฟม (กรองแห้ง) เช่นกรอง HKS เป็นกรองแห้ง ตัวแผ่นกรองทำจากโฟม (dry, foam filter) อากาศผ่านได้ดี HKS ใช้โฟมความละเอียดต่างกัน 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความสามารถให้การกรองฝุ่นให้ดีีขึ้น สามาทำความสะอาดโดยล้างน้ำตัวแผ่นกรองได้ อายุการใช้งาน 30,000 กิโลเมตร 3. กรองผ้ากอซ (กรองเปียก) ส่วนกรอง K&N เป็นกรองเปียก ตัวกรองเป็นผ้ากอซ (wet, gauze filter) นำมาทำเป็บจีบอยู่ในโครงตาข่าย อากาศผ่านได้ดี แต่ความสามารถในการกรองผุ่นต่ำ จึงจำเป็นต้องอาศัยน้ำยามาฉีดที่ตัวกรองเพื่อเพิ่มดักฝุ่นให้เกาะอยู่ที่ผิวตัวกรอง เมื่อใช้ไปถึงระยะเวลาหนึ่ง ฝุ่นก็จะเกาะอยู่บนผิวของตัวกรองทำให้อากาศไหลผ่านได้ไม่ดี จึงต้องนำมาล้างแล้วฉีดน้ำยาใหม่ ข้อดีคือสามารถล้างน้ำและนำมาใช้ใหม่ได้เรื่อยๆ ข้อควรระวังก็คือ ไม่ควรฉีดน้ำยามากเกินไป เพราะน้ำยาอาจไปเกาะที่ตัว Mass Airflow Sensor ทีอยู่ในกล่องกรองอากาศได้ครับ Dirty Bit, Ohm, sorachais and 3 others 6 Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
Dirty Bit Posted June 19, 2012 Report Share Posted June 19, 2012 ขอเอาข้อมูลเก่า มาเล่าใหม่นะครับ ประเภทของกรองอากาศหลักๆ ก็มี 1. กรองกระดาษ (กรองแห้ง) กรองเดิมติดรถเป็นแบบแห้ง ตัวแผ่นกรองทำจากกระดาษ (dry, paper filter) แลัวพับเป็นจีบ (pleated) เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าสัมผัสในการกรองอากาศให้มากขึ้น กรองฝุ่นผงได้ดีที่สุด แต่อากาศไหลผ่านได้ไม่ดี ไม่สามารถทำความสะอาดได้ ทำได้เพียงเป่ากรองเพื่อลดฝุ่นที่เกาะอยู่บนผิวกระดาษ อายุการใช้งาน 20,000 กิโลเมตร 2. กรองแผ่นโฟม (กรองแห้ง) เช่นกรอง HKS เป็นกรองแห้ง ตัวแผ่นกรองทำจากโฟม (dry, foam filter) อากาศผ่านได้ดี HKS ใช้โฟมความละเอียดต่างกัน 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความสามารถให้การกรองฝุ่นให้ดีีขึ้น สามาทำความสะอาดโดยล้างน้ำตัวแผ่นกรองได้ อายุการใช้งาน 30,000 กิโลเมตร 3. กรองผ้ากอซ (กรองเปียก) ส่วนกรอง K&N เป็นกรองเปียก ตัวกรองเป็นผ้ากอซ (wet, gauze filter) นำมาทำเป็บจีบอยู่ในโครงตาข่าย อากาศผ่านได้ดี แต่ความสามารถในการกรองผุ่นต่ำ จึงจำเป็นต้องอาศัยน้ำยามาฉีดที่ตัวกรองเพื่อเพิ่มดักฝุ่นให้เกาะอยู่ที่ผิวตัวกรอง เมื่อใช้ไปถึงระยะเวลาหนึ่ง ฝุ่นก็จะเกาะอยู่บนผิวของตัวกรองทำให้อากาศไหลผ่านได้ไม่ดี จึงต้องนำมาล้างแล้วฉีดน้ำยาใหม่ ข้อดีคือสามารถล้างน้ำและนำมาใช้ใหม่ได้เรื่อยๆ ข้อควรระวังก็คือ ไม่ควรฉีดน้ำยามากเกินไป เพราะน้ำยาอาจไปเกาะที่ตัว Mass Airflow Sensor ทีอยู่ในกล่องกรองอากาศได้ครับ ขอบคุณข้อมูลดีๆ ครับ ขออนุญาตเอาไปเผยแพร่เป็นความรู้นะครับ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
vittyz Posted June 19, 2012 Author Report Share Posted June 19, 2012 ขอบคุณครับ ตอนนี้ยังชั่งใจไม่ออก ว่าจะไป KN ดีไหม .. กลัวเรื่องมีผลต่อการขับ อืดขึ้น หรือ ทำให้เครื่องมีปัญหาระยะยาว แหละครับ เพราะคันนี้กะใช้ยาวววววเลยครับ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
jink Posted June 19, 2012 Report Share Posted June 19, 2012 ใช้ดีขึ้นหรือแย่ลง คุณเท่านั้นคือผู้ตัดสินใจ เพราะว่า ของแต่งแต่ละอย่างไม่ได้เหมาะกับทุกคน ดีอย่างเสียอย่าง คุณรับได้ส่วนนึงแต่รับไม่ได้อีกอย่างนึง ก็ตัดสินใจเอง ของดีแต่ไม่เหมาะกับการใช้งาน ก็คือไม่ดี ของไม่ดีแต่เหมาะกับการใช้งาน ก็คุ้มค่ากันไป การใช้ของแต่งต้องศึกษาว่าเหมาะสำหรับเราหรือเปล่า...ครับ.... OnlyMii 1 Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
sorachais Posted June 19, 2012 Report Share Posted June 19, 2012 ขอเอาข้อมูลเก่า มาเล่าใหม่นะครับ ประเภทของกรองอากาศหลักๆ ก็มี 1. กรองกระดาษ (กรองแห้ง) กรองเดิมติดรถเป็นแบบแห้ง ตัวแผ่นกรองทำจากกระดาษ (dry, paper filter) แลัวพับเป็นจีบ (pleated) เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าสัมผัสในการกรองอากาศให้มากขึ้น กรองฝุ่นผงได้ดีที่สุด แต่อากาศไหลผ่านได้ไม่ดี ไม่สามารถทำความสะอาดได้ ทำได้เพียงเป่ากรองเพื่อลดฝุ่นที่เกาะอยู่บนผิวกระดาษ อายุการใช้งาน 20,000 กิโลเมตร 2. กรองแผ่นโฟม (กรองแห้ง) เช่นกรอง HKS เป็นกรองแห้ง ตัวแผ่นกรองทำจากโฟม (dry, foam filter) อากาศผ่านได้ดี HKS ใช้โฟมความละเอียดต่างกัน 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความสามารถให้การกรองฝุ่นให้ดีีขึ้น สามาทำความสะอาดโดยล้างน้ำตัวแผ่นกรองได้ อายุการใช้งาน 30,000 กิโลเมตร 3. กรองผ้ากอซ (กรองเปียก) ส่วนกรอง K&N เป็นกรองเปียก ตัวกรองเป็นผ้ากอซ (wet, gauze filter) นำมาทำเป็บจีบอยู่ในโครงตาข่าย อากาศผ่านได้ดี แต่ความสามารถในการกรองผุ่นต่ำ จึงจำเป็นต้องอาศัยน้ำยามาฉีดที่ตัวกรองเพื่อเพิ่มดักฝุ่นให้เกาะอยู่ที่ผิวตัวกรอง เมื่อใช้ไปถึงระยะเวลาหนึ่ง ฝุ่นก็จะเกาะอยู่บนผิวของตัวกรองทำให้อากาศไหลผ่านได้ไม่ดี จึงต้องนำมาล้างแล้วฉีดน้ำยาใหม่ ข้อดีคือสามารถล้างน้ำและนำมาใช้ใหม่ได้เรื่อยๆ ข้อควรระวังก็คือ ไม่ควรฉีดน้ำยามากเกินไป เพราะน้ำยาอาจไปเกาะที่ตัว Mass Airflow Sensor ทีอยู่ในกล่องกรองอากาศได้ครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับพี่ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
Paul FD Posted June 22, 2012 Report Share Posted June 22, 2012 ใช้ดีขึ้นหรือแย่ลง คุณเท่านั้นคือผู้ตัดสินใจ เพราะว่า ของแต่งแต่ละอย่างไม่ได้เหมาะกับทุกคน ดีอย่างเสียอย่าง คุณรับได้ส่วนนึงแต่รับไม่ได้อีกอย่างนึง ก็ตัดสินใจเอง ของดีแต่ไม่เหมาะกับการใช้งาน ก็คือไม่ดี ของไม่ดีแต่เหมาะกับการใช้งาน ก็คุ้มค่ากันไป การใช้ของแต่งต้องศึกษาว่าเหมาะสำหรับเราหรือเปล่า...ครับ.... โดนใจจริงๆๆ ครับ Quote Link to comment Share on other sites More sharing options...
Recommended Posts
Join the conversation
You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.