Jump to content

7dozen

CCTH Member
  • Posts

    41
  • Joined

  • Last visited

Reputation Activity

  1. Like
    7dozen reacted to GTRFD in น้ำหนักล้อแท้แต่ละรุ่น รวมล้อ 4495 รุ่น มาฝากครับ   
    ตามลิงค์ครับ แล้วคลิกที่ Wheel Weights List จะเป็นไฟล์ Excel ให้โหลดดู ครับ  
     
    http://www.wheelweights.net
     
    เอาไว้เปรียบเทียบล้อแต่ละรุ่น และเปรียบเทียบล้อก๊อบครับว่าน้ำหนักต่างกันแค่ไหน
    ครับ
    GO!!
     
  2. Like
    7dozen reacted to Tommie in สอบถามเรื่องช่วงล่างและออฟเซตล้อ   
    ไม่ต่างมากคับ แต่ใช้ 2.0 เถอะ ราคาตอนนี้เหมือนจะแถมฟรีละคับ 
     
    ผมใช้สปริงโหลด Eibach คับ + โช๊ค 2.0
     
    หน้าเตี้ยกว่า TypeR  5 มม ได้ มั่นใจมาก เพราะขูดหน้าบ้านตัวเองทุกวัน 
  3. Like
    7dozen reacted to gryffindor in 10 อันดับงาน Event สาวเซ็กซี่ที่สุดแห่งปี   
    10 อันดับงาน Event สาวเซ็กซี่ที่สุดแห่งปี 
    ไวเหมือนโกหกว่าตอนนี้วนมาจบที่สิ้นปีอีกครั้ง และก็เป็นทำเนียมที่ทำต่อมาทุกปีสำหรับ 10 อันดับงาน Event สาวเซ็กซี่ที่สุดแห่งปี โดย Men.Mthai ซึ่งนับจากยอดวิวที่ท่านสมาชิกทุกท่านได้กดคลิกเข้ามาดูกัน อย่ารอช้ามาเริ่มต้นกันที่..

    อันดับที่ 10 งาน RUSH Super Rally Party 2012 แรลลี่กับสาวๆ 50 ชีวิต

    เป็นแรลลี่ที่มีสาวๆ เยอะมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    ดูแต่ละคน สนุกสุดๆ จริงๆ

    อันดับที่ 9 งาน Sexy Leo Girls Season 6

    แม่เสือร้อนแรงจนติด 1 ใน 10

    เสือสาวสุดเซ็กซี่

    อันดับ 8 พริตตี้มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2012

    งานที่เพิ่งจบไปสดๆ ร้อนๆ

    เซ็กซี่ขึ้นกว่าทุกปี จนพาติดอันดับ

    อันดับ 7 งานสยามบันเทิง San Mig Light Star Choice Awards

    กองทัพดารามาเพียบ

    ทั้งชมพู่ สุดน่ารัก

    และอั้ม สุดสวย

    อันดับ 6 สงกรานต์ RCA 2555

    เทศกาลที่ผมชอบมากที่สุด

    ได้เห็นสาวๆ ตัวเปียกปอน

    อันดับ 5 งานฉลองครบรอบ 4 ปี นิตยสาร Zoo

    เปียกปอนตามกันมาติดๆ ต่อทิ้งท้ายวันสงกรานต์

    ยังจำบรรยากาศงานวันนั้นได้ติดตา

    อันดับ 4  พริตตี้ บูธซันยอง ในงานมอเตอร์โชว์ 2555

    ไม่น่าเชื่อว่าเนย แจม และสาวๆ พริตตี้ซันยอง จะเซ็กซี่จนพาติดอันดับขนาดนี้

    ยอดวิวสูงทะลุ 2 แสน

    สุดยอดจริงๆ ครับ สาวๆ บูธนี้

    อันดับ 3 Miss Maxim 2012

    มาถึง 3 อันดับสุดท้ายแล้ว

    สุดยอดจริงๆ ครับในงานวันนั้น

    จำได้ว่าจัดขึ้นที่ร้านไม้เอก!!

    ท่าดึงซองคำถามยังติดตา

    อันดับ 2 RUSH The Perfect iDol 2012

    มาแรงแซงทางโค้งจริงๆ ครับงานนี้

    เบียดขึ้นมาถึงอันดับที่ 2 ได้

    ก็เพราะสาวในงานแต่ละคน บะละฮึ่มๆๆ

     
    อันดับ 1 FHM Girls Next Door GND 2012

    ทิ้งห่างขาดลอย ด้วยคะแนนจากสาวๆ GND
     

    แทบลืมหายใจ
     
     

    สุดยอมจริงๆ
     
     

    ชื่อนี้การันตีความเซ็กซี่
     
     
     
     
    ที่มา  Men.Mthai
  4. Like
    7dozen reacted to tonnaruto in เคลมสี ตัวถัง 0 Honda สาขาเยาวราช [รับรถก่อนปีใหม่]   
    เคลือเดียวกับพระรามสามหรอ ครับ นี่ แล้วจะดีมั้ย หว่า
    เพราะล่าสุด แฟนน้องที่ทำงานผม นำรถเข้าศูนย์ เพื่อ ตั้งประตูอะไรสัีกอย่างนี่แหละ ไขน็อตตั้งประตู หัวน็อตถลอก จนสนิมเริ่มจับ
    พอไปรับรถ กันชนหลังเป็นรอยถลอก ต้องทำสีใหม่ พนง.รับทราบอยู่แล้วด้วยนะ ว่า ทาง 0 ทำเป็นรอย
     
    แต่ที่เซ็งแทนคือ ทำสีในจุดนั้น เขาซ่อมกันเป็นเดือน หรอครับ ? ฟังแล้ว งงแทน แต่แฟนน้องเขาก็ ทิ้งรถให้ศูนย์ทำ อีกนะ - -*
     
    กะแค่ซ่อมสีที่ศูนย์ทำเป็นรอย ทำไม ทำเป็นชาติเลยละหว่า ทำไมไม่นัดวัน ให้นำรถเข้าซ่อม ให้ทิ้งรถทำไม ??
     
    ปล.อันนี้เรื่องเล่าสู่กันฟังของ แฟนน้อง ที่ทำงานผมเฉยๆ เลยนำมาฝาก ครับ ^^ เอ้อ ลืมบอก รถที่ว่า คือ City โแมใหม่ป้ายแดง ออกรถมาได้ไม่นานเลย
  5. Like
    7dozen reacted to wat in ไม่ ไหว แล้ว   
    “ ความรักนั้นจะเกิดจาก อารมณ์ที่มั่นคงแล้ว ผ่านระยะเวลาการฟูมฟัก และไม่จางจากไปได้ง่าย ๆ ความรักจะฝังอยู่ในความรู้สึกฝังอยู่ในหัวใจ ฝังอยู่ในความทรงจำอย่างลึกซึ้ง ความชอบไม่ใช่ความรัก ความชอบเกิดขึ้นได้และอาจเปลี่ยนไปในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่ยืนนาน ”
  6. Like
    7dozen reacted to NFS in น้ำมันเครื่องshell helix ultra   
    ใช้อยู่ครับ สิบกว่าแกลลอนแล้ว ใช้ตั้งแต่ สองแสนโลตอนนี้ใกล้จะสามแสนแล้วกิโล
    ความลื่นเสถียรกว่าตัวอื่นนะครับ (วัดกันที่เข้าใกล้ระยะเปลี่ยนถ่ายที่หนึ่งหมื่นโล) เท่าที่สัมผัสมาตลอดซึ่งผมเคยใช้น้ำมันเครื่องในบ้านเราเกือบทุกยี่ห้อ
    Additives ในน้ำมันช่วยชะล้างคราบต่างๆในเครื่องยนต์ได้ดี
    ปกติใช้เดินทางไกลยาวๆ เร่งแซงรอบสูงๆเครื่องเงียบกว่ายี่ห้ออื่นที่เลิกใช้ไปแล้วเช่น Mobil-1 , Castrol Edge
    *** เดี๋ยวนี้เป็นมาตรฐาน API SN แล้ว จากเมื่อก่อนแค่ SM
    ราคาสูงกว่าเจ้าอื่น
  7. Like
    7dozen reacted to auykung in Civic FD Ranger จาก civicclub Malaysia   
    [/url]]


    เท่ห์อ่ะ ชอบบบบบ
  8. Like
    7dozen reacted to Nui Showcase in อีกสักนิด... 2013 civic Si กับของแต่งเล็กๆ น้อยๆ   
    วันนี้ก็จะเริ่มเห็นภาพ 2013 Civic Si กับของแต่งกระจุกกระจิกละครับ
     






     
     
    ส่วนบ้านเรา..คงอีกนาน
     
    credit : facebook-honda-civic


  9. Like
    7dozen reacted to zensor in ขึ้นลิฟท์คนเดียวระวังนะครับบ อันตรายยย !!   
    ระวังโดนแกล้ง แบบนี้ หัวใจจะวายยยย
  10. Like
    7dozen reacted to gryffindor in แอบถ่าย 2013 Honda Civic จากดีลเลอร์ เผยภาพภายในเป็นครั้งแรก   
    การเปิดตัวเวอร์ชันปรับโฉมของ Honda Civic รหัส FB กำลังใกล้เข้ามาทุกที แม้ในประเทศไทยเพิ่งจะได้รับการ
    เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยการปรับโฉมครั้งนี้ ถือว่ามีแรงกดดันจากทุกฝ่าย ทั้งด้านฮอนด้าเองที่หวังกู้หน้าหลัง
    ได้รับเสียงวิจารณ์อย่างหนัก และด้านผู้บริโภคที่คาดหวังให้ฮอนด้าปรับปรุงแบบก้าวกระโดด โดยเมื่อสัปดาห์ก่อน
    Honda ได้เผยโฉมภาพของ 2013 Honda Civic ไปเรียบร้อยแล้ว 2 ภาพ แต่ก็เป็นเพียงภาพรูปลักษณ์ภายนอก
    เพียงอย่างเดียว
     

     
     
    และก็เป็นตามที่คาดไว้ ว่าในช่วงสัปดาห์นี้ 2013 Honda Civic จะเข้าสต็อกตามดีลเลอร์ต่างๆในประเทศสหรัฐอเมริกา
    เพราะล่าสุดได้มีภาพแอบถ่ายจากดีลเลอร์ในแดนมะกัน เผยให้เห็นรูปโฉมคันจริงของ Honda Civic FB รุ่นปรับโฉม
    ชัดเจนทั้งภายนอกและภายใน
     

     
     
     
    โดยรูปลักษณ์ภายนอก อย่างที่ได้เคยรายงานไว้ว่า ได้ถูกออกแบบใหม่ เสริมความเป็นสปอร์ตในด้านหน้า และเติม
    รายละเอียดต่างๆ ด้วยการออกแบบให้มีเส้นสายซับซ้อน สวยงามมากขึ้น โดยเฉพาะรูปลักษณ์ด้านท้าย ที่มีการเพิ่ม
    แถบโครเมียม ออกแบบฝาท้ายใหม่ รวมไปถึงโคมไปท้าย ที่เปลี่ยนเป็นทรงยาว ให้ความรู้สึกหรูหราและลงตัวมากขึ้น
     
     

     
     
     
    แต่ที่พิเศษ คือรูปลักษณ์ภายใน อันเป็นเป้าโจมตีของผู้บริโภคและสื่อทั่วโลก ว่ามีการออกแบบและการใช้วัสดุภายใน
    ที่ไม่เหมาะสมนัก ทำให้ Honda เร่งทำการบ้านอย่างหนักเพื่อกู้หน้าในรุ่นปรับโฉมนี้ ผลก็คือ คอนโซลหน้าได้รับ
    การออกแบบใหม่ โดยภาพรวมจะคล้ายคลึงกับรุ่นปัจจุบัน แต่หากลองดูในรายละเอียดแล้ว ช่องแอร์ อุปกรณ์ต่างๆ
    ได้รับการปรับวัสดุใหม่ทั้งหมด รวมไปถึงรอยต่อระหว่างคอนโซลกลางและคอนโซลหน้า ที่ได้รับการออกแบบให้
    เรียบเนียนต่อเนื่องมากกว่าเดิม ที่สำคัญคือการเดินด้ายเย็บบริเวณคอนโซลหน้าด้านบน ดูหรูหราและมีคุณภาพกว่าเดิมชัดเจน
     
     


     
    (ภาพบน : รุ่นปรับโฉม / ภาพล่าง : รุ่นปัจจุบัน)
     
    2013 Honda Civic หรือ Civic FB รุ่นปรับโฉม จะเปิดตัวครั้งแรกในงาน 2012 L.A. Auto Show ส่วนในประเทศ
    ไทยอาจต้องรอถึงปี 2014 เลยทีเดียว
  11. Like
    7dozen reacted to Tommie in ภาพความประทับใจ(ของผม)กับงาน Honda Day Live Night Race   
    แต่ที่ประจำทับใจ ทุกท่านที่มาตั้งแต่ ช่วงเช้าวันนั้น คือ รถคันนี้ครับ
     
     

     
    รถแต่ง เสตปเทพ ของคุณนาญ Noey ส่งตรงขึ้นรถยกมาจากชลบุรี เพื่อมาร่วมงานก่อน แต่เจ้าตัวติดภารกิจ
     
    ผู้เอาลงจะเป็นใครไปไม่ได้ โอ๊ค DRM
     

     
    สร้างความฮือฮาให้กับเพื่อนคาร์คลับอื่นๆ กันไปแต่เช้า
  12. Like
    7dozen reacted to gryffindor in Free Running โหดๆ   
    http://youtu.be/l-HO6XRCJK8


    http://youtu.be/nG5fkysGLtI
  13. Like
    7dozen reacted to modernm69 in Civic Type R for world Touring Car Championship   
    เครื่อง 1600cc + Turbo
     

  14. Like
    7dozen reacted to tonnaruto in เมื่อทุกคน(ในคุก)มีความเชื่อ ....   
    ตะลึง 'Bodyslam' เล่นคอนเสิร์ตใน 'คุก'
     

     
    เป็นเรื่องปกติที่เราจะเห็นนักร้องหนุ่ม ตูน บอดี้สแลม ขึ้นเวทีคอนเสิร์ต แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ ตูน บอดี้สแลม จะมาขึ้นเวทีทอล์คโชว์เป็นครั้งแรกกับ “เจาะใจ เดอะโมเม้นต์ 3” ทอล์คโชว์ผ่านภาพยนตร์ ครั้งแรกของเมืองไทย ซึ่งตูนจะมาจับคู่ทำภารกิจสร้างแรงบันดาลใจกับ ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม ทำ “คอนเสิร์ตในคุก” เพื่อให้ความหวังและกำลังใจกับนักโทษในเรือนจำ ทั้งนี้ภาพคอนเสิร์ตในคุกจะถูกทำเป็นภาพยนตร์แล้วฉายในทอล์คโชว์ “เจาะใจ เดอะโมเม้นต์ 3” วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย
     
    ตูน บอดี้สแลม เล่าที่มาที่มาของการทำคอนเสิร์ตในคุกว่า “ก่อนหน้านี้ผมเคยได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเขียนจากในเรือนจำส่งมาหาผมว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง “ความเชื่อ” ทำให้เขาอยากออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งผมคิดว่าคนที่อยู่ข้างในนั้นคงมีคนที่คิดแบบนี้เหมือนกัน อยากออกมาเปลี่ยนตัวเองเพราะได้รับพลังจากเพลงของเรา ดังนั้นถ้าเราจะเป็นส่วนเล็กๆ ของสังคมช่วยผลักดันพลังความดีให้งอกเงยจะเป็นสิ่งที่ดีมาก จึงปรึกษากับป๋าเต็ด ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการทำคอนเสิร์ต เราจึงลงตัวที่การทำคอนเสิร์ตในคุก ความรู้สึกในวันที่เล่นคอนเสิร์ตมันรุนแรงและเข้มข้นมาก ผมสัมผัสได้ถึงพลังของพวกเขาที่ได้ปลดปล่อย พวกเขามีระเบียบวินัย เขากอดคอกันร้องเพลง จากการพูดคุยกับนักโทษผมได้เรียนรู้ว่าพวกเขาก็มีชีวิตจิตใจเหมือนเราเพียง แต่เขาอาจเลี้ยวผิดในบางช่วงจังหวะของชีวิต แต่จริงๆ ทุกคนมีมุมดีๆ อยู่ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เราได้รับจากการเล่นคอนเสิร์ตครั้งนี้ และเราไม่ได้แค่ว่ามาร้องเพลงสร้างความบันเทิงเท่านั้น แต่พยายามสอดแทรกเรื่องความดีไปกับบทเพลง เพราะผมไม่ใช่นักพูด ผมเป็นนักดนตรี จึงใช้สิ่งที่ถนัดคือ ดนตรี สื่อสารกับพวกเขา
     
    เครดิต : http://news.gmember.com/%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%87-Bodyslam-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%81-/News-3239
     
     
    ปล.ได้ใจผมไปเลย Bodyslam ! ที่แน่ๆ นักโทษไม่มีตีกัน แต่ นศ.ช่าง ตีกันเพื่อ ??
  15. Like
    7dozen reacted to next9422 in bicymple จักรยานแบบใหม่ ไม่มีเกียร์ ไม่มีจานโซ่   
    bicymple จักรยานดีไซน์ใหม่ ขับเคลื่อนล้อหลัง ส่องทุกซอกมุม bicymple จักรยานแบบใหม่ ขับเคลื่อนล้อหลัง จักรยาน bicymple ถือว่าเป็นดีไซน์ที่เรียกได้ว่า เป็นการย้อนกลับไปสู่เบสิค ความเรียบง่าย ตามแบบของจักรยานเลยก็ว่าได้ ไม่มีเกียร์ ไม่มีจานโซ่ และ ตัดส่วนที่เสริมที่ไม่จำเป็นออกไปเกือบหมด ทำที่ปั่นเชื่อมกับล้อโดยตรง แถมยังเป็นล้อหลังซะด้วย ล้อหน้าก็เชื่อมกับแฮนด์บาร์ แบบล็อคเอาไว้เลย เนื่องจากไม่ต้องใช้โซ่ และ จานโซ่ ในการขับเคลื่อน ทำให้รถจักรยานสั้นกว่าแบบปกติ น้ำหนักเบากว่าปกติ เจ๋งดีอะ! เรียกง่ายๆเลยว่า เจ้าจักรยาน bicymple ตัวนี้ มาแบบเปลือยๆ มีแค่เฟรม ล้อหน้า-หลัง ที่ปั่น และ เบาะนั่ง แค่นั้นเลยทั้งคัน ว่าแล้วไปดูกันดีกว่าว่าเจ้า bicymple มันเจ๋งแค่ไหน รูปเซตนี้จัดมาให้ดูทุกซอกทุกมุมเลยครับ
     
     
    เครดิต : http://world.kapook....8217a940b000000
  16. Like
  17. Like
    7dozen reacted to ZXON in กุญแจ Immobilizer กด ล็อค ไม่ได้ ทำไงดี รึว่าถ่านหมด เปลี่ยนได้ที่ไหนครับ   
    เบื้องต้นลองกด แล้วไฟสีแดง เหมือนตามรูปติดหรือเปล่าคับ ถ้าติดก็แสดงว่าถ่านรีโมทยังไม่หมด แต่ถ้าไม่เคยเปลี่ยนถ่ายรีโมทเลย ก็ลองเปลี่ยนดูครับ
    ้ถ้ากดแล้วไฟแดงขึ้นตามภาพก็สัญนิฐานว่าถ่านรีโมทยังไม่หมดครับ

     
    ถ้าไปซื้อถ่านรีโมทมาเปลี่ยนเองก็เบอร์ตามนี้ครับ หรือ ถ้าสะดวกก็วันอาทิตย์ขับรถมาโลตัสเลียบทางด่วนครับ มีให้เปลี่ยนฟรี
     

  18. Like
    7dozen reacted to MasterPee in เตือนภัยสภาพท้องถนนขาขึ้นจากใต้   
    ใช่เลยครับ ขาลงยังพอได้ แต่ขอขาขึ้นมา เหมือนจะให้มาจอดซื้อ หรือชะลอดูสัปปะรด
  19. Like
    7dozen reacted to Nui Showcase in ของเกือบฟรี... สำหรับคนรักล้อเดิม ยางเดิม 15" 16" เท่านั้ัน   
    มีรุ่นพี่ทำงานเกี่ยวข้องกับ มิชลินครับ.. ส่งข่าวมาบอกว่า
    ฝากบอกเพื่อนๆ
     
    ข้อกำหนด
    1. รถยนต์ 1600 cc ขึ้นไป
    2. ใช้ยาง 205/65-15 หรือ 205/55-16
    3. มีเวลามาเช็คสภาพยางปีละ 2 ครั้ง (ตามนัดหมาย)
     
     
    เงื่อนไข
    ยางขอบ 15 ... จะได้ยาง XM2 205/65-15
    มัดจำเงิน 6,000 บาท (ได้คืน 6,000 เมื่อครบสัญญา 1-3 ปี ตามระยะทางและสภาพยาง)
    ค่าสมัคร 2,000 บาท
    ค่าถอดเปลี่ยนยาง ตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ 1,000 บาท
    รวม 9,000 บาท
     
     
    ยางขอบ 16 ... จะได้ยาง MXV8 205/55-16
    มัดจำเงิน 8,000 บาท (ได้คืน 8,000 เมื่อครบสัญญา 1-3 ปี ตามระยะทางและสภาพยาง)
    ค่าสมัคร 2,000 บาท
    ค่าถอดเปลี่ยนยาง ตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ 1,000 บาท
    รวม 11,000 บาท
     
    เมื่อสิ้นสุดสัญญา จะได้รับเงินมัดจำคืน 6,000 หรือ 8,000 บาท ตามขนาดยาง
    เหมือนได้ใช้ยางฟรี...
     
    ของมีจำนวนจำกัด ...
    นัดเปลี่ยนประมาณ เดือน พย. 2555 ตามตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน (ของเจ้าของรถ)
    ที่ทาง บริษัท กำหนด .... สงสัยอาจจะต้องเฉพาะใน กทม. ปริมณฑล
     
    ผู้สนใจ (ไม่ต้องส่งมาทางข้อความนะครับ เดี๋ยวข้อความผมเต็ม อิอิ) ขอรายละเอียด
     
    ชื่อเล่น
    login
    เบอร์โทร
    ขนาดยางที่ใช้
    ยี่ห้อรถ
    รุ่น
    ลงไว้ในนี้แหละ... เดี๋ยวผมมาแจ้งอีกทีว่าจัดส่งไปที่ไหนยังงัย
     
     
    คำถาม
    ถ้า....ใช้ไปแล้ว ยางแตก ปะได้ ก็ปะให้, ปะไม่ได้ก็เปลี่ยนฟรี ในรุ่นเดิม แบบเดิม
    ถ้า....ใช้ไป 1 ปี แล้วหมดสภาพ ... ก็รับเงินคืน (ส่วนจะต่อ Pro มั้ย..ยังไม่ทราบ)
    ถ้า....ใช้ไปแล้ว 1 ปี ขายรถ ยังไม่หมดสัญญา แล้วเปลี่ยนยาง อาจจะไม่ได้เงินค่ายางคืนนะครับ
     
     
    ผม.. ไม่มีส่วนได้ ส่วนเสียกับ PROMOTION นี้
    แค่มีข่าวมาบอก.... ยางดี ไม่ดี อย่าว่ากันนะ "ออกตัวล้อฟรีคงไม่คุ้ม"
    แต่..อยากให้สมาชิก CCTH ได้สิทธิ์นี้ไปครับ
     
    หากใครมีคำถามเพิ่มเติม ถามในนี้เลยนะครับ ผมจะส่งข้อความไปให้กับ บริษัทฯ
    ส่วนเงื่อนไขต่างๆ จะมีรายละเอียดให้อ่านเพิ่มเติมในลำกับต่อไป
  20. Like
    7dozen reacted to mnirun in การเปลี่ยนหลอดไฟต่ำพร้อมรูปประกอบแบบ Step-by-Step   
    อุปกรณ์ที่ใช้
    หลอดไฟต่ำแบบ HB4
    ไขควงปากแบนที่ติดมากับรถ
    ไฟฉาย หากยังไม่มีติดรถหามาไว้สักอันนะครับ

    เวลาที่ใช้: ประมาณ 15 นาที
     
    ขั้นตอนการเปลี่ยนหลอดไฟ
     
    เริ่มแรกก็ไปหยิบไขควงปากแบนมาจากชุดเครื่องมือหลังรถก่อนเลยครับ ใครไม่เคยใช้ หรือไม่เคยเห็นหน้าตาชุดเครื่องมือหลังรถ วันนี้ได้เห็นแล้วครับ
     

     

     
    เราจะเริ่มเปลี่ยนหลอดไฟหน้าขวาก่อน ก็ให้เราสตาร์ทรถยนต์ หักพวงมาลัยไปทางซ้ายให้สุดแล้วดับเครื่อง จากนั้นให้มองหาหมุดยึดซุ้มล้อตรงตำแหน่งที่ลูกศรชี้ไว้ครับ
     

     
    รูปหมุดยึดซุ้มล้อแบบชัดๆ (ผมใช้รูปจากล้อซ้ายนะครับ เพราะรูปจากล้อขวาถ่ายย้อนแสงดูไม่ชัดครับ) เราจะเห็นช่องที่สามารถเสียบไขควงปากแบนเข้าไปได้ หากมองไม่เห็นสามารถหมุนหมุดยึดซุ้มล้อได้ครับ
     

     
    เสียบไขขวงปากแบนเข้าไป
     

     
    บิดไขควงเบาๆ หมุดก็จะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย ไม่ต้องงัดครับ
     

     

     
    ใช้มือง้างพลาสติกซุ้มล้อออกมา แล้วมองเข้าไปข้างใน ก็จะเห็นปลั๊กหลอดไฟหน้า (ปลั๊กรถผมจะเลอะน้ำยากันสนิมสีน้ำตาลหน่อยนึง)
     

     
    ใช้มือบีบปลั๊กแล้วค่อยๆ ดึงหัวปลั๊กลงทางด้านล่าง จากนั้นเอาหัวปลั๊กหลบออกไปจะได้ดึงหลอดไฟออกอย่างสะดวก แล้วจึงบิดฐานหลอดไฟทวนเข็มนาฬิกาประมาณ 90 องศา ดึงหลอดออกมาช้าๆ อย่าเอามือหรือสิ่งอื่นใดไปโดนตัวหลอดอย่างเด็ดขาด ให้จับที่ฐานหลอดเท่านั้น เพราะหากมีคราบน้ำมันหรือเหงื่อติดอยู่ที่หลอด เมื่อเปิดไฟหน้าซึ่งเกิดความร้อนสูง สิ่งสกปรกที่อยู่ที่ผิวหลอดจะทำให้หลอดแตกหรือเสียหายได้ครับ
     

     
    นำหลอดไฟใหม่มาใส่เข้าไปที่โคมไฟ หลอดไฟติดรถจะเป็นหลอด Sylvania ฐานหลอดสีน้ำตาล ส่วนหลอดใหม่ของผมเป็น Philips VisionPlus ฐานหลอดสีขาว
     

     
    ใส่หลอดกลับเข้าไปแล้วก็บิดหลอดตามเข็มนาฬิกาประมาณ 90 องศา เสียบปลั๊กกลับเข้าไปให้แน่น
     

     
    อย่าพึ่งรีบดันพลาสติกซุ้มล้อกลับเข้าไป ให้เราเปิดไฟหน้ารถ (ไม่ต้องสตาร์ทรถก็เปิดไฟหน้าได้) แล้วดูว่าไฟหน้าสว่างหรือไม่ หากไฟหน้าสว่างก็ค่อยดันพลาสติกซุ้มล้อกลับเข้าไปให้เหมือนเดิม อาจใช้วิธีง้างกันชนบ้างนิดหน่อย จะช่วยให้ดันกลับเข้าไปง่ายขึ้นครับ
     

     
    ส่วนไฟหน้าอีกข้างก็ทำตามขั้นตอนเดียวกันเลยครับ
     
    สำหรับหลอดเดิมที่ติดมากับรถก็ให้เราเก็บเอาไว้ในกล่องหลอดไฟที่เราซื้อมาใหม่ ติดสติกเกอร์ให้เรียบร้อย แล้วเก็บเอาไว้ในรถจะได้มีหลอดไฟสำรองเอาไว้ใช้งานยามที่หลอดไฟหน้าขาดลงครับ หากสงสัยว่าทำไมต้องเก็บหลอดไฟหน้าเอาไว้ในรถด้วย ลองอ่านกระทู้นี้ดูแล้วก็จะเข้าใจครับ -> มาคุยกันเรื่องหลอดไฟหน้ากัน
     

     

     

     
    เห็นไหมครับว่าการเปลี่ยนหลอดไฟหน้านั้นไม่ได้ยากเลยครับ
  21. Like
    7dozen reacted to mnirun in มาคุยกันเรื่องหลอดไฟหน้ากัน   
    อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า Civic FD 1.8 เรานั้นใช้หลอดไฟหน้าชนิดฮาโลเจน (Halogen) ซึ่งผู้ใช้งานส่วนใหญ่ที่ผมได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันก็บอกไปแนวทางเดียวกัน
    ว่าไม่ค่อยสว่างสักเท่าใดนัก ต่างกับรุ่น 2.0 ที่ใช้ไฟหน้าชนิด HID (High Intensity Discharge) ทำให้หลายๆ ท่านที่ใช้รถ 1.8 มองหาช่องทางเพิ่มประสิทธิภาพของไฟหน้ารถกัน ซึ่งก็มีทางเลือกหลากหลายทาง ตั้งแต่ การอัพเกรดหลอดไฟหน้า, การใช้ HID Conversion Kit ซึ่งมีหลากหลายเกรด แตกต่างกันไปตามราคา, การเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟหน้าของรุ่น 2.0 ทั้งชุด, ไปจนถึง Retrofit แต่ทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากทางหนึ่งก็คือ การอัพเกรดหลอดไฟหน้า เพราะไม่ต้องไปยุ่งกับระบบเดิมของรถยนต์ แค่แปลี่ยนหลอดไฟใหม่เท่านั้นก็จะได้ความสว่างที่มากขึ้นได้ และค่าใช้จ่ายก็ยังไม่แพง ราคาเริ่มตั้งตั้งแต่หลักร้อยปลายๆ ไปจนถึงเกือบสองพันบาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ/รุ่นของหลอดไฟที่เราเลือก
     
    แต่เราทราบกันหรือไม่ว่า ความสว่างและอายุการใช้งานของหลอดไฟอัพเกรดนั้นเป็นอย่างไร ?
     
    ผมได้อ่านข้อมูลของคุณ Daniel Stern จาก Daniel Stern Lighting Consultancy and Supply (http://www.danielsternlighting.com/) ที่ตอบคำถามผู้ที่ได้เขียนอีเมล์ไปถามเขาเกี่ยวกับหลอดไฟ ก็ได้พบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้ครับ
     
    Daniel Stern ใช้หลอด H1 เป็นตัวอ้างอิง จากนั้นจึงนำข้อมูลจาก 3 ผู้ผลิตหลอดไฟเจ้าใหญ่ในท้องตลาดมาเปรียบเทียบให้ดู (Osram-Sylvania, Philips-Narva, Tungsram-GE) ตัวเลขจริงอาจแตกต่างกันไปบ้างแต่ก็ไม่มีนัยสำคัญ
     

     

     
    จากข้อมูลข้างต้น เราจะเห็นได้เลยว่า ยิ่งหลอดสว่างมากกว่ามาตรฐานเท่าไหร่ อายุก็ยิ่งสั้นลงเท่านั้น ที่เป็นอย่างนั้นเพราะความสว่างของหลอดไฟส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับไส้หลอด (filament) ถ้าเราเปลี่ยนไส้หลอดเพื่อยืดอายุหลอดให้ยาวนานขึ้น โฟกัสของหลอดไฟก็จะลดลง ทำให้ระยะทางในการส่องสว่างลดลงนั่นเอง แสงที่ได้ก็จะมีสีขาวน้อยลงและมีสีน้ำตาลมากขึ้น
     
    ในทางกลับกัน ถ้าเราเปลี่ยนไส้หลอดให้สว่างมากขึ้น "Plus" (+30, +50, +80, +90) อายุของหลอดก็จะสั้นลง แต่เราก็จะได้ระยะโฟกัสที่ดีขึ้น ระยะทางในการส่องสว่างก็จะมากขึ้นด้วย แสงที่ได้ก็จะออกขาวมากขึ้นและมีสีน้ำตาลน้อยลง
     
    Daniel Stern เองบอกว่าในร้านของเขานั้น สต็อกหลอดไฟ +50 แทนที่จะเป็น +80/+90 ก็เพราะว่าประสิทธิภาพที่ได้เมื่อเทียบกับอายุที่สั้นลงของหลอด +50 นั้น คุ้มค่ากว่า +80/+90 ที่เราได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจาก +50
     
    ผมเองนำข้อมูลมาเสนอ ก็ไม่ได้จะมาบอกว่าหลอดแบบไหนดีที่สุด เพราะวัตถุประสงค์และความต้องการของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน เช่น เพื่อนผมที่เป็นเซลล์ต้องเดินทางต่างจังหวัดตอนกลางคืนค่อยข้างเยอะ บางช่วงในการเดินทางก็ไม่มีแสงไฟจากทางหลวงเลย แน่นอนว่าความสว่างย่อมมาเป็นประเด็นแรกในการตัดสินใจ แต่กลับกันกับผมที่ขับรถในตอนกลางวันเป็นหลักและขับในเส้นทางที่มีแสงไฟจากทางหลวงเกือบตลอดเส้นทาง จึงไม่ได้ต้องการหลอดไฟที่สว่างมากอย่างที่เพื่อนผมที่เป็นเซลล์ต้องการ
     
    หวังว่าบทความสั้น ๆ นี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจว่าอายุของหลอด "Plus" นั้น น้อยกว่าหลอดมาตรฐานเสมอ ยิ่งสว่างมากอายุยิ่งสั้นลง และสิ่งสำคัญสำหรับท่านที่เปลี่ยนหลอด "Plus" ท่านควรเปลี่ยนหลอดไฟด้วยตัวเองเป็นและพกหลอดไฟมาตรฐานที่มากับรถติดเอาไว้ในรถเสมอ เพราะหากหลอด "Plus" ขาดลงเมื่อใด ท่านก็จะมีหลอดสำรองพร้อมที่จะใช้งานได้ทันทีครับ
  22. Like
    7dozen reacted to Tommie in ลูกหมากเริ่มเสื่อมสภาพจะดูอย่างไร   
    เวลารถวิ่งทางงขรุขระมันจะรู้สึกไม่แน่นน่ะคับ บอกไม่ถูก
     
    จะเช็คก้อ เวลาขึ้นฮ้อย จับล้อทีละข้าง แน่นๆ 2 มือ แล้วจับบิดหรือดัน ดูเลยคับ ทิศทางเหมือนเวลาบังคับล้อน่ะ
     
    ถ้าขยับก๊อกแก๊กได้นั่นก้อเริ่มหลวมละ มันจะขยับได้นิดเดียวนะคับ ต้องจับฟิลลิ่งดีๆ เกร็งมือนิดนึง ขยับได้มากนี่ล้อเกวียนละ
     
    ของผมก๊อกแกกแบบนี้แหละ จัดไปชุดนึงละ แรคหน้าคู่เลย เปลี่ยนเสร็จ วิ่งออกมาแน่นตึับเลย
  23. Like
    7dozen reacted to NFS in ลูกหมากเริ่มเสื่อมสภาพจะดูอย่างไร   
    ช่วงสองแสนโลปีที่แล้ว ได้จัดการเรื่องลูกหมากชุดขับหน้าเหมือนกัน พร้อมเปลี่ยนจารบีเพลาขับหน้าตรงดุมล้อทั้งสอง
    บอลจ๊อยตรงจากแร๊คพวงมาลัย ที่ช่างเรียกไม้ตีกลอง ก็ใส่จารบีใหม่
    ลูกหมากปีกนกล่าง
    แน่นขึ้นเยอะ รู้สึกดีในด้านการควบคุมที่เห็นได้ชัดช่วงหักเลี้ยว พวงมาลัยกลับมาหนักกระชับเหมือนเดิม
     
    เรืองนี้สำคัญ ของมีอายุการใช้งาน
     
    * การตรวจสอบ ขึ้น Hoist แล้วให้ช่างขยับล้อดูทั้งสองข้างเพื่่อดูการหลวมคลนของชุดช่วงล่าง
  24. Like
    7dozen reacted to DeViLRabBiTs in [บทความ] รวมทุกสิ่งที่จะต้องรู้ ก่อนที่จะแต่งรถยนต์ เกี่ยวกับช่วงล่างทั้งหมด   
    เครดิต : กยิราเจ กยิราเถนัง
     
    วันนี้ได้เจอบทความดีๆมา ขอนุญาติแบ่งปัน สำหรับเพื่อนๆชาว CCTH
     
    อนึ่ง กระทู้ทั้งหมดผมจะเน้นไปยังเรื่อง "ของแต่งรถยนต์" ซะเป็นส่วนใหญ่ ว่าอะไรคืออะไร ตัวเลขต่างๆบ่งบอกค่าอะไรบ้าง รวมถึงแนวทางและStep ต่างๆของการ "อัพ" รถยนต์ให้มีสมรรถนะดีขึ้นโดยที่จะไม่ลงลึกไปถึงเรื่องหลักการคำนวณต่างๆ เพราะเราเป็น User มิใช่ผู้ผลิต ดังนั้น รู้เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว(เนอะ)
     
     
    1. เรื่องของล้อ
     
    ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่ต้องการแต่งรถ ส่วนใหญ่จะเริ่มกันที่การเปลี่ยนล้อเป็นอันดับแรกๆ แน่นอนว่าล้อนั้นมีหลายระดับหลายราคา มีตั้งแต่ วงละ พันกว่าบาท ไปจนถึงล้อละแสน (ชุดละสี่แสน)ก็ยังมีให้เห็นราคาที่ต่างกันนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวัสดุและวิธีการสร้างต่างกันนั่นเอง แต่อย่างลืมว่าราคาที่เพิ่มมาเท่าตัวกับคุณภาพที่เพิ่มขึ้นมานั้นจะคุ้มค่าเงินในกระเป๋าหรือเปล่า อันนี้ต้องตัดสินกันเอง
     
    แบ่งออกเป็นประเภทที่สำคัญๆในการเลือกซื้อก็น่าจะได้ประมาณนี้ครับ
     
    ล้อชิ้นเดียว : เป็นล้อในฝันสำหรับใครหลายๆคน เพราะเป็นล้อที่ราคาแพง ส่วนใหญ่ล้อระดับ Hi-end จะเป็นล้อประเภทนี้ซะเกือบหมด มีคุณสมบัติที่ดีคือ เบา (อาจจะไม่เสมอไปขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต) และแข็งแรง
     
    ล้อประกอบ: หมายถึงล้อที่มีการประกอบขึ้นรูปขึ้นมา(งงมั๊ย) คือวงล้อและจานจะแยกชิ้นส่วนกันได้ครับ โดยจะยึดกันโดยหมุด(หรืออย่างอื่น)เพื่อนำแต่ละส่วนมายึดติดกันเพื่อเป็นล้อที่สมบูรณ์ บางคนจะเรียกล้อชนิดนี้ว่า ล้อสองชิ้น ล้อสามชิ้น เป็นต้น ล้อประเภทนี้จะราคาถูกกว่าล้อชิ้นเดียว เนื่องจากการผลิตที่ค่อนข้างจะง่ายกว่า แต่ความแข็งแรงที่ได้อาจจะน้อยกว่า แต่ก็ไม่เห็นผลเท่าไหร่นะ(คหสต.)
     

     
     
     
     
     
    1.2 ค่าต่างๆที่ควรจะรู้ก่อนไปเลือกซื้อล้อ
     
    ค่าออฟเซ็ต(Offset,ET) : คือค่าระยะห่างระหว่างเส้นกึ่งกลางล้อ ไปจนถึง Hub(จุดยึดที่ดุมล้อ) ซึ่งออฟเซ็ตจะมีทั้งค่าฝั่ง + และฝั่ง - (ดูรูปประกอบ) โดยปกติ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหน้า และ ขับเคลื่อนล้อหลัง จะมีค่าออฟเซ็ตที่ไม่เท่า ก่อนจะเปลี่ยนล้อ เราจึงจำเป็นต้องรู้ค่า Standard ของรถว่าแต่ดั้งแต่เดิมเนี่ย มีค่า ออฟเซ็ตเท่าไหร่ แล้วxxxที่เปลี่ยนใหม่เข้าไปเนี่ย มันเท่าไหร่
    โดยปกติรถยนต์ทั่วๆไป (ขับหน้า) จะมีออฟไต่อยู่ราวๆ +35 ถึง +45 ซึ่งการเลือกเปลี่ยนล้อมาใส่ให้รถตัวเองนั่น จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับออฟเซ็ตให้มากๆเพราะว่า ถ้าเลือกออฟเซ็ตไม่ตรงกับ Standard แล้วจะเกิดปัญหาตามมาคือ ล้ออาจจะติดซุ้มด้านนอก (ล้อยื่นออกมานอกตัวถัง) หรือ ล้ออาจจะติดซุ้มด้านใน (ล้อหุบเข้าด้านในมากเกินไป) ซึ่งเป็นปัญหาอันดับต้นๆที่หลายๆคนจะเจอ
     
    หน้ากว้างของล้อ : ค่านี้จะมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับค่า Offset เพราะจะบอกว่า ความกว้างของล้อนั้นมีขนาดเท่าไหร่ ซึ่งถ้าถ้า Offset ไม่สัมพันธ์กับความกว้างของล้อแล้วล่ะก็ อาจจะเกิดการติดซุ้มด้านนอกและด้านในก็ได้ครับ
     
    โชคดีที่เทคโนโลยีสมัยนี้ช่วยได้เยอะ จึงมีผู้คิดค้น Offset calculator ให้เรามาใช้ได้แบบฟรีๆ ยังไงลองดูตามลิงค์กันได้เลยนะครับ http://www.1010tires...tCalculator.asp
     
     

     
     
    ค่า PCD หรือ PITCH CIRCLE DIAMETER : คือค่าที่บ่งบอก "ระยะ" ของรูน็อตบนดุมล้อ โดยทั่วไปส่วนใหญ่จะเขียนกันแบบง่ายๆ ดังนี้เช่น 4/100 จะหมายถึง ล้อชนิดนี้ มีรูน็อต 4 รู และมี PCD 100 นั่นเอง รถเก๋งส่วนใหญ่ก็คงจะหนีไม่พ้นล้อตามนี้เช่น 4/100 , 4/114.3 , 5/100,5/114.3 เป็นต้น ค่าพวกนี้จะมีค่าตายตัวติดกับรถยนต์ของเราไปจนวันที่มันสิ้นชีพ(ยกเว้นเปลี่ยนดุมใหม่เป็นแบบอื่น) ดังนั้นถ้าต้องการจะเปลี่ยนล้อแล้ว จำเป็นจะต้องจดจำ Spec ตรงนี้ให้ได้ นะครับ
     

     
     
    1.3 เลือกล้อมาใส่รถกันเถอะ
     
    เนื่องจากล้อมีหลายแบบมากมาย จะเลือกอย่างไรดีว่าอันไหนเหมาะสมกับรถเรา อันไหนไม่เหมาะล่ะ ??
     
    ถ้าคุณได้อ่าน คห. บนๆ เรื่อง Offset และ PCD มาแล้ว ก็พร้อมจะเลือกล้อใส่รถยนต์แล้วล่ะครับ ทั้งนี้มีอีกเรื่องนึงที่อยากจะบอก นั่นก็คือ Size ของล้อที่เราจะใส่นั่นเอง ล้อปัจจุบันมีหลายไซส์มากๆ ไล่ไปกันตั้งแต่ 12" - 25" (อันนี้เท่าที่ผมเคยเจอนะ) อย่าลืมว่า ถ้า Standard ของรถคุณ เป็นล้อขอบ 15" (สมมติ) แล้วอยากอัพเป็น 18" สิ่งที่คุณจะต้องคำนึงถึงก็คือ
    - ค่า Offset หน้ากว้างของล้อ อย่างที่บอกไปใน คห.บนๆว่ามันมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นถ้าจะให้ดี ควรศึกษาก่อนว่า ใส่แล้วจะมีผลทำให้ล้อมันล้นออกมานอกตัวถังรถ หรือหุบเข้าไป มากน้อยขนาดไหนด้วยนะครับ
    - ความสูงของตัวรถ แน่ล่ะว่าถ้าเปลี่ยนล้อให้ Size ใหญ่โตมโหฬาร ความสูงของรถจะเพิ่มขึ้นด้วย แต่สำหรับรถที่ล้อใหญ่ๆแล้วนั้น ยางที่ใช้ควบคู่กัน มักจะมี Series ต่ำๆเสมอ (จะอธิบายใน คห.ล่างๆต่อไปครับ)
    - ปัญหาของระบบเบรค จากการที่ล้อมี Radius มากขึ้น ส่งผลให้แรง Torque มากขึ้นตาม(T=Fr) นั่นแปลว่า เบรคจะต้องรับภาระหนักขึ้นตามตัวไปด้วยนั่นเอง อีกอย่างคือ อัตราเร่งก็จะมีผลตามไปด้วย ใส่ไปแล้วจะรู้สึกหน่วงๆหน่อย ทั้งเบรคทั้งเร่ง หน่วงหมดเลยครับ
     
     
    แพงหรือถูกดีกว่ากัน???
     
    แน่ล่ะ ของแพงย่อม "หล่อ"กว่าและดีกว่าเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าของถูกจะไม่ดีเสมอไปนะครับ บางแบรนด์ของไทย ตีตลาดไปไกลถึงต่างแดนได้เพราะคุณภาพที่ดี เชื่อว่าหลายๆคนพอจะเดาออกนะว่ายี่ห้ออะไร (อิๆ) ตัวผมเองไม่เน้นว่าล้อจะแพงหรือถูกขนาดไหน แต่ขอให้ล้อนั้นเหมาะสมกับรถเราเป็นพอ บางคนใส่ Volk Te37 ขอบ 18" สี่วง ราคาก็ตกอยู่เฉียดๆแสน ในขณะที่อีกคนนึงใส่ Lenso ธรรมดาๆ ขอบ 18" เหมือนกัน แต่ราคาถูกกว่า Volk เกินครึ่ง ทั้งนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับความพอใจด้วยล่ะครับ ตังค์ใครตังค์มัน หากไม่เดือดร้อนและอยากได้ของแพงๆ ก็ใส่ไปเถอะครับ มันก็หล่อดี
     
    คุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างของล้อที่แพงๆคือจะเบา เพราะใช้กรรมวิธีแบบ Forge ซึ่งจะทำให้วัสดุนั้นๆ มีความแข็งแรง แถมเบาอีกต่างหาก ด้วยการที่กรรมวิธีในการผลิตยุ่งยาก จึงทำให้ล้อแพงขึ้นเป็นธรรมดา
     
     
    รูปภาพ : Volk Te37 ล้อสวยๆในตำนาน
     

     
     
     
    R คือ ลักษณะของยาง ในที่นี้คือ Radial
    15 คือขนาดของยางครับ ใช้กับล้อขนาด 15 นิ้ว
    85 คือ ดัชนีการรับน้ำหนักต่อยางหนึ่งเส้น
    H คือ ขีดจำกัดความเร็วสูงสุดที่ยางนี้สามารถทนได้
     
    ทั้งนี้ยังมีเรื่องของตัวเลขที่บ่งบอกว่ายางผลิตเมื่อไหร่ด้วยนะครับ ลักษณะจะเป็นตัวเลข 4 หลัก อยู่บนขอบยางนั่นแหละ แต่ละยี่ห้อก็จะเหมือนกันคือจะเรียกลำดับตัวเลขกันประมาณนี้ครับ _ _ _ _ โดยสองหลักแรก(นับจากทางด้านซ้าย) จะบ่งบอกว่าผลิต "สัปดาห์"ที่เท่าไหร่ ส่วนอีกสองหลักที่เหลือจะบอกว่าผลิตปีอะไรครับ ยกตัวอย่างเช่น 0212 ก็จะได้ประมาณว่า ยางชุดนี้ผลิตเมื่อสัปดาห์ที่ 2 ในปี 2012 ประมาณนี้ครับ
     
    เพิ่มเติมให้นิดนึงเรื่องการดูยางว่าเก่าเก็บแล้วจะซื้อได้หรือไม่ ... อันที่จริงมีหลายบทความเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกันนะครับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เท่าที่ผมพอจะทราบคือ สามารถเก็บไว้ได้(ในกรณีที่ยังไม่เคยใช้งาน) อย่างต่ำๆ 2 ปีครับโดยที่ยางจะไม่เสื่อมสภาพ ดังนั้นอันนี้เป็นเทคนิคส่วนตัวเล็กๆน้อยๆว่า ยางใหม่ แต่ปีเก่า(ไม่เกิน2ปี) ราคาจะถูกกว่ายางที่ผลิตในปีปัจจุบัน ดังนั้นถ้าจะเลือกยางราคาถูกๆแล้วล่ะก็ เลือกปีเก่าหน่อยก็ได้ครับ จะได้เซฟเงิน อ่อ อีกอย่างคือ ให้ซื้อยางกันตอนต้นปีนะครับ เพราะยางเก่าราคาจะลดลงมากว่าตอนเปิดตัวใหม่ๆซะอีก
    คำถามคือ แปลว่ายางใหม่เก่าเก็บ(อายุไม่เกิน2ปี) ก็จะมีสภาพเหมือนยางใหม่ทุกประการหรือไม่? ..... ในกรณีที่เก็บอย่างถูกต้อง และยางนั้นๆไม่เคยใช้งานเลย อาจจะบอกได้ว่ายางจะมีสภาพไม่แตกต่างจากยางผลิตใหม่ๆครับ ใช้งานได้เหมือนกัน
    ส่วนเรื่องบางท่านชอบซื้อยางปีใหม่ๆ ประมาณว่ายางเพิ่งออกจากโรงงานมาได้หนึ่งอาทิตย์ แล้วเอามาใส่กับรถยนต์เลยเนี่ย เรื่องนี้ผมเคยอ่านบทความของเมืองนอกเมื่อนานมาแล้ว(ประมาณสองปีที่ผ่านมา) เค้าบอกว่าอาจจะไม่ดีอย่างที่คิดครับ เพราะว่ายางมันยังไม่เซ็ตตัว ประสิทธิภาพยังได้ไม่เต็มที่ ตรงจุดนี้จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ ใครมีข้อมูลมากกว่านี้เพิ่มเติมได้เลยนะครับ ยินดีเสมอ
     
    ที่มารูปภาพ:http://www.bridgestone.co.th/th/tire_safety/tire_safety_knowledge_detail.aspx?kid=13
     

     
     
     
     
    ยางนี่ค่อนข้างสำคัญเลยนะครับสำหรับการแต่งรถ ผมว่าหลายๆคนมองข้ามตรงจุดนี้ไปนะ เห็นมัวแต่ไปโมเครื่องกันหกเจ็ดร้อยม้า แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องยางกันเล๊ยยยยย ไม่รู้สิ ผมคิดแบบนี้นะ เพราะว่าไม่ว่ารถคุณจะแรงเท่าไหร่ ม้ามากขนาดไหน สุดท้ายแล้วมันก็จะต้องถ่ายทอดลงพื้นโดยผ่านยางเสมอ ซึ่งถ้าม้าลงพื้นไม่เต็ม ก็ไม่รู้จะโมกันให้แรงกันทำไม จริงมั๊ย ??
     
     
    2.1 ขนาดของยาง
     
    มีตัวเลขหนึ่งชุดที่คุณสมควรจะรู้ครับ สมมติตัวเลขหนึ่งขึ้นมาดังนี้ 205/50/R15 85H
     
    205 คือ ความกว้างของยาง ระยะจาก แก้มยางด้านใน ถึง แก้มยางด้านนอก โดยมีหน่วยเป็น mm. ส่วนนี้จะต้องเลือกให้เหมาะสมกับขนาดหน้ากว้างของล้อด้วยครับ
    50 คือ Series ของยาง(หรือความสูงของแก้มยางนั่นแหละ) ซึ่งอันที่จริงมีค่าเป็น % นะครับบ่งบอกว่า เจ้ายางตัวเนี่ยมีความหนาของยางเป็น 50% ของหน้ากว้าง 205 นั่นเองครับ จากตัวอย่างข้างต้นสามารถคำนวณเป็น mm. ได้ว่า (205x50)/100 ในที่นี้จะเท่ากับ 102.5 mm. ด้วยประการฉะนี้แล
    2.2 ลักษณะของดอกยาง
     
     
    1) ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง
    เป็นลักษณะของลายดอกยางที่จะสามารถสลับยางได้ในทุกตำแหน่งล้อของรถ ลักษณะดอกยางทั้ง 2 ด้าน จะสวนทิศทางกันหาก เป็นการขับขี่ทั่วไปไม่เน้นความเร็วสูง ดอกยางลักษณะนี้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างดีเยี่ยม
     
     
    2) ดอกยางทิศทางแบบทิศทางเดียว (Uni-Direction)
    ลายของดอกยางจะถูกบังคับให้หมุนไปในทิศทางเดียวเท่านั้น โดยมีลูกศรบอกทิศทางการหมุนอยู่ที่แก้มยางทั้ง 2 ด้าน ดังนั้น การสลับยางจะสลับได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น เช่น สลับด้านหน้าขวากับหลังขวา หรือด้านหน้าซ้ายกับหลังซ้ายเว้นแต่จะถอดตัว ยางออกจากกระทะล้อเดิมไปใส่กับกระทะล้อฝั่งตรงกันข้าม แต่ต้องจัดวางทิศทางการหมุนของดอกยางให้ถูกต้องเช่นเดิม มิเช่นนั้น แล้วจะทำให้ทิศทางการหมุนของยางเปลี่ยนกลับทิศทางทำให้ประสิทธิภาพของยางลดลง จุดเด่นของดอกยางแบบทิศทางเดียว คือ สามารถไล่น้ำออกจากหน้ายางได้รวดเร็วกว่าแบบ 2 ทิศทางป้องกันอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) ซึ่งจะทำให้ควบคุมบังคับ รถได้ลำบากและเกิดการลื่นไถลได้ง่าย
     
    ที่มา:http://www.bridgestone.co.th
     

     
     
     
    3. โช๊ค+สปริง
     
    สองอย่างนี้เกี่ยวเนื่องกัน ยังไงผมขออนุญาตยกไว้ในหัวข้อเดียวเลยแล้วกันนะครับ
     
    3.1 โช๊คอัพ
    แยกให้ออกกันก่อนนะครับว่า โช๊คอัพ และสปริงนั้นจะแยกกันเสมอ เมื่อรถเรามีแรงกระแทก กระเทือน กระทั้น ฯลฯ อันใดก็ตามเนื่องมาจากถนนหลวงเมืองไทย เจ้าโช๊คอัพและสปริงจะมาทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทกไว้ เพื่อการควบคุมรถได้อย่างมั่นคง อันที่จริงไม่ได้มีแค่นี้นะครับสำหรับช่วงล่างรถ มันยังมีจุดอื่นอีกพอสมควรเลยที่มีส่วนช่วยตรงจุดนี้ แต่เนื่องจากกระทู้นี้จะพูดเฉพาะเรื่องของแต่ง ดังนั้นขอลงลึกแค่เรื่องนี้ก็แล้วกันเนาะ
     
    อ้าวโม้มาซะยาว ถึงไหนแล้วล่ะเนี่ย ??? - -"
     
    โช๊คอัพ มีหน้าที่ หน่วงการสั่นของสปริง .... อ้าว งงล่ะสิ .... ภายในโช๊คอัพเนี่ย หลักๆจะมีแกน ลิ้น น้ำมัน แก๊ส กระบอก เป็นส่วนประกอบทั้งหมดครับ นึกภาพตามนะ เนื่องจากภายในกระบอกโช๊ค จะมีน้ำมัน(และ/หรือ แก๊ส ) อาศัยอยู่ภายใน ซึ่งจะมีความหนืดแตกต่างกันไปตามแต่รุ่นและยี่ห้อของโช๊คอัพนั้นๆครับ
    โช๊คบางรุ่น หนืดมาก โช๊คบางรุ่นหนืดน้อย ถามว่าทำไมมันถึงไม่ทำให้ความหนืดมันเท่ากันทุกตัวล่ะ ? ก็เพราะว่าลักษณะการใช้งานที่ต่างกันนั่นเองครับ ในรถแข่ง จำเป็นต้องทำให้โช๊คแข็งกระด้าง เนื่องจากไม่ต้องการให้มีการโยนตัวของรถยนต์มากเกินไปเวลาเข้าโค้ง (แต่ก็ต้องแลกกับความแข็งกระด้างเวลาขับถนนไม่เรียบ)
    ในขณะที่รถบ้านธรรมดาๆ โช๊คอัพจะถูกเซ็ตมาให้อ่อนหน่อย มันจะมีผลโดยตรงเวลาขับถนนเมืองไทย จะไม่แข็งกระด้างจนเกินจะอดทนครับ แต่ก็ต้องแลกกับการที่เวลาเข้าโค้งแรงๆ อาจจะเกิดอาการย้วย ยวบยาบ กันได้
     
    โช๊คอัพแต่งบางรุ่นสามารถปรับระดับแข็งอ่อนได้ครับ บางรุ่น ปรับ 4 ระดับ 8 ระดับ 36 ระดับ (จะมากไปไหน) เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานของคนขับ แข็งมากแข็งน้อยก็สมารถปรับหมุนปรับกันได้ตามใจชอบกันเลย ส่วนเรื่องราคา แน่นอนว่าส่วนใหญ่ พวกที่ปรับแข็งอ่อนได้นี่จะราคาแพงกว่าอยู่แล้วครับ
     
     
    โช๊คอีกแบบที่หลายๆท่านสนใจกันก็คือพวกปรับสูงต่ำได้(สตรัท) อันนี้เนี่ยก็มีหลายยี่ห้ออยู่เหมือนกันครับ แนะนำอย่างนี้ว่า หากอยากซื้อใส่และไม่มีปัญหาทางการเงิน ก็ซื้อไปเถอะครับ แต่ถ้าต้องการจะเซฟเงินหน่อยเนี่ย ผมมองว่าควรจะคำนวณล้อที่เราจะใส่ก่อนว่าจะทำให้รถเราสูงหรือต่ำขึ้นเพียงไหน จะได้เลือกโช๊คอัพ(และสปริง)ได้ถูกต้องและเหมาะสมกับการใช้งาน โดยที่ไม่ต้องไปเปลืองตังค์มากขึ้น ส่วนจะเลือกยี่ห้อไหนเนี่ย ไม่มีคำแนะนำให้ได้สำหรับคำถามนี้ครับ เพราะว่าโช๊คอัพที่มียี่ห้อส่วนใหญ่ ความแข็งแรงของเกลียว(สตรัท) ก็จะใกล้เคียงกัน ดังนั้นไม่มีปัญหาเกลียวรูดแน่นอน ซึ่งจะแตกต่างกับสตรัทโอท็อปที่หลายๆท่านชอบไปทำกันครับ
     
    เดี๋ยวขอกระโดดข้ามเรื่องโช๊คอัพไปก่อนนะครับ จะมาอธิบายทีหลังว่าทำไมมันต้องทำงานควบคู่กับสปริงด้วย
     
     
    รูป: Ohlin DFV สนนราคาไม่แพง ไต่อยู่ราวๆ 3xxx USD หรือตีเป็นสกุลเงินสยามก็ราวๆ แสนกว่าบาทเท่านั้นเอง - -"
     

     
     
    3.2 สปริง
     
    จาก คห. ข้างบนผมกล่าวเรื่องโช๊คอัพกันไปแล้ว อันนี้เรามาต่อกันเรื่องสปริงดีกว่าครับ
     
    หน้าที่ขอสปริงคือรองรับแรงที่เกิดขึ้นนั่นเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือรองรับการยุบตัวของรถยนต์นั่นแหละ ซึ่งเจ้าสปริงเนี่ยมันไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ครับ ค่าต่างๆที่น่าจะเป็นประเด็นมีอยู่อย่างเดียวก็คือ ค่า K ของสปริง
    ใครเรียนฟิสิกส์มาคงจะพอจำกันได้ว่า ค่า K คือค่าคงที่ของสปริงโดยมีหน่วยเป็น Kg/mm ,N/mm หรือ Lbs/in แล้วแต่เค้าจะกำหนดกันมา ค่าเหล่านี้จะเขียนบอกอยู่บริเวณขดของสปริงนั่นแหละครับ ค่ามากก็คือแข็งมาก ค่าน้อยก็คือแข็งน้อยนั่นเองครับ
     
     
    สามารถแบ่งชนิดของสปริงได้ประมาณนี้ครับ
     
    - Linear : คือมีระยะห่างระหว่างขดที่เท่ากันตลอดความยาวของท่อนสปริง ซึ่งแบบนี้จะมีค่า K ค่าเดียวครับ
     
    - Step : แบบนี้สปริงท่อนเดียว จะมีระยะห่างระหว่างขดไม่เท่ากันครับ มีทั้งขดถี่ และก็ขดห่างๆ ในวงเดียวกัน ค่า K จะมี 2 ค่าครับ โดยเมื่อมีน้ำหนักมากดทับ (ยังไม่หนักมาก) เจ้าขดที่ถี่ๆ จะยุบตัวก่อนเพื่อนเลย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่น้ำหนักมากขึ้น เจ้าขดห่างๆ ก็จะเริ่มหดตัวลงบ้าง
     
    - Progressive : แบบนี้จะแปลกสุดคือ ระยะห่างมันจะไม่เท่ากันเลยครับ ค่า K จะมีค่าตั้งแต่น้อย ไปจนถึงมาก ข้อดีคือ มันจะค่อยๆเพิ่มความแข็งขึ้นไปเรื่อยๆครับ ประมาณว่าขับช้าก็ชิลหน่อย แต่ถ้าจะเข้าโค้งความเร็วสูงๆก็ยังไหวครับ
     
     
    คำถามคือ แล้วจะเลือกค่า K เท่าไหร่ดีจึงเหมาะกับโช๊คอัพ?
     
    ตามปกติแล้ว โช๊คอัพนั้นจะมาเป็นเซ็ตพร้อมสปริงอยู่แล้วครับ ส่วนใหญ่ที่เค้าขายแยกเช่น โช๊คแยก สปริงแยกนั้น เพื่อนำมาเป็นอะไหล่ทดแทนของเดิมเท่านั้นเอง ดังนั้นหากจะเลือกโช๊คอัพและสปริงซักชุดแล้ว ควรจะเลือกที่มาพร้อมๆกันทั้งสี่ต้นจะดีที่สุดครับ เพราะทุกอย่างจะถูกออกแบบให้เหมาะสมต่อการใช้งานอยู่แล้ว
     
    ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนเฉพาะสปริงให้แข็งขึ้นเพียงอย่างเดียว จะทำให้รถกระด้างและเด้งครับ เหมือนจะดีแต่มันไม่ดีครับ ฟันธง ! ส่วนถ้าจะเปลี่ยนโช๊คหรือนำโช๊คเดิมไปอัดน้ำมันให้มันแข็งๆแล้วล่ะก็ จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า โช๊คยืดไม่สุดได้เหมือนกันครับ (ประมาณว่าอยู่ดีๆรถเราก็เตี้ยลงเองซะงั้น)
     
    สรุป ในทางปฏิบัติแล้ว รถที่ช่วงล่างดี ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง คนที่เล่นรถมานานจะทราบดีว่า รถยนต์ที่ขับสนุก ไม่ใช่รถที่มีแรงม้าสูงๆเท่านั้นครับ แต่ต้องเป็นรถที่มีช่วงล่างที่ดีด้วย การเข้าโค้ง เปลี่ยนเลน จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะเลยทีเดียวเชียวแหละ
     
    รูป: Tein Coilovers
     
     
     
     
    4. ค่ามุมล้อ
     
    ค่ามุมล้อต่างๆของรถยนต์ มีหลักๆก็เพียงแค่สามแบบสามสไตล์ครับ แต่ละอย่างก็จะทำหน้าที่แตกต่างกันไป แนะนำให้ดูภาพประกอบไปด้วยนะครับ สามารถอธิบายได้คร่าวๆดังนี้ครับ
     
     
    4.1 Camber: ค่ามุมนี้คงเป็นที่รู้จักกันมากแน่นอนเลย เพราะเรามักจะปรับค่านี้กันเองครับ โดยโช๊คอัพบางรุ่นจะสามารถปรับค่า Camber นี้ได้จากตรงเบ้าโช๊คเลย โดยค่า Camber นั้นจะมีสองแบบครับคือ +กับ- (ล้อแบะออกคือ + ล้อหุบเข้า คือ - )
     
    ทำหน้าที่ต้านการเอียงข้างของรถขณะเข้าโค้ง ลดรัศมีหมุนเลี้ยวลง เพื่อให้หมุนพวงมาลัยได้เบา อันเนื่องมาจากพื้นที่สัมผัสของยางกับถนนนั้นน้อยลง ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ อย่างเช่นถ้าล้อแบะ(แคมเบอร์เป็นลบ) เวลาขับรถตรงๆเนี่ย ยางจะไม่สัมผัสกับถนนแบบเต็มๆนะครับ(นึกภาพตาม)
     
    แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าโค้งเนี่ย ล้อด้านนอกโค้ง จะสัมผัสกับพื้นถนนแบบเต็มที่เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ด้วยการเซ็ตค่าแคมเบอร์ จะยังคงทำให้การหักเลี้ยวทำได้ง่ายเหมือนเดิม ไม่หนืด หมุนพวงมาลัยลื่นปรึ๊ด กันเลยทีเดียว
     
     
    4.2 Caster: มีผลต่อการควบคุมรถในการเลี้ยวโค้งครับ โดย ค่า - (ดูภาพตาม) มันจะทำให้รถไม่ค่อยนิ่งครับ หรือเรียกกันง่ายๆว่าหน้าไว ไม่เหมาะกับรถบ้านๆทั่วไปด้วยประการทั้งปวง แต่มีผลดีกับรถแข่งเวลาเลี้ยวโค้งครับ พวงมาลัยมันจะตอบสนองดีกว่า เข้าโค้งได้เร็วและคมกว่า ส่วน Caster + นั้น จะมีผลดีต่อความนิ่งของรถยนต์ โดยจะนิ่งกว่าครับ และไม่เสียกำลังของเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนไปด้านหน้ามากเท่าไหร่
     
     
    4.3 Toe : บางตำราเขียนไม่เหมือนกันนะครับ เค้าอาจจะแบ่ง Toe in กับ out แค่นั้น หรืออาจจะมีทั้ง Toe in +,- และ Toe out ผมขออธิบายตามที่เข้าใจแล้วกันนะครับ(จากรูปข้างล่าง ในส่วนของมุม Toe น่าจะเป็น Toe in +,- มากกว่า) เจ้ามุมนี้จะมีผลต่อมุมในการเลี้ยวโค้งครับ อธิบายคือ มุมกว้างหรือแคบของวงเลี้ยว ก็จะอยู่ที่ค่านี้น่ะแหละครับ ครั้นจะเซ็ตค่ายังไงให้ถูกต้อง เห็นทีคงจะบอกไม่ได้ เพราะการแข่งรถแต่ละแบบก็จะเซ็ตต่างกันด้วย มุมนี้ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยจะไปยุ่งกับมัน แต่ถ้าจะให้เซ็ตกันจริงๆ(รถดริฟ) ก็ใส่มุม Toe เป็น + ครับ
     
     
    การเซ็ตติ้งค่ามุมล้อต่างๆของช่วงล่างรถยนต์นั้น ผมว่ามันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมากนะครับ กว่าจะเซ็ตกันลงตัว ถ้าทำกันจริงๆแล้ว กินเวลานานพอสมควรเลยล่ะ เพราะว่าการขับขี่ของแต่ละคนก็ต่างกัน ความชอบก็ต่างกัน ดังนั้นรถยนต์ ควรจะจูนเข้าหาคนขับขี่มากกว่าครับ( คหสต. )
     

     
     
     
    ในส่วนของมุม Caster เนี่ย จะมีผลโดยตรงต่อ "การบังคับเลี้ยว" โดยการเซ็ตช่วงล่างแต่ละแบบ ก็จะทำให้ได้อาการบังคับเลี้ยวที่ต่างกันครับโดย
     
     
    Negative Caster : จะทำให้หน้าไวและคม กล่าวคือ หักเลี้ยวนิดเดียวลดก็เป๋เลย ประมาณนั้นครับ อีกอย่างนึงคือ เวลาเราเลี้ยวไปแล้วเนี่ย พวงมาลัยมันจะคืนตัวเร็วครับ (ตามตำรานะ)
     
     
    Positive Caster : ตรงกันข้ามกับ Negative Caster เลยครับ โดยการเซ็ตแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการเซ็ตอยู่ในรถยนต์ปกตินะ
     
     
    *แก้ไข*
    เบลอไปหน่อยครับ แก้เรียบร้อยแระ
     
    เพิ่มเติมเรื่องการเซ็ตติ้งนิดนึงครับ เมื่อกี้ด้วยความฉงน เลยออกไปดูรถมาเพื่อความชัวร์
     
    รถทั่วๆไปจะถูกเซ็ตไว้เป็น Positive นะครับ ส่วน Negative เนี่ย เดี๋ยวต้องไปดูที่อู่ก่อนว่าเซ็ตกันแบบไหน แต่เดาว่าน่าจะ Positive เหมือนกัน ส่วนตัว ไม่ค่อยได้ไปยุ่งกับ Caster และ Toe เท่าไหร่ครับ ปกติจะปรับแต่ Camber อย่างเดียวเลย
     
     
     
    5. เบรค
     
    มาถึง เรื่องสุดท้ายสำหรับ Part 1 กันแล้วนะครับกับเรื่องเบรค ส่วนนี้ผมจะให้ความสำคัญในการเลือก Spec ของเบรคแล้วกันนะครับ ... เบรครถยนต์ปัจจุบันที่ใช้กันเยอะๆจะมีอยู่สองแบบคือ ดรัมเบรคและดิสก์เบรค ซึ่งในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะในหมวดดิสก์เบรคแต่เพียงอย่างเดียวแล้วกันนะครับ
     
    5.1 ส่วนประกอบของเบรค
    จริงๆเบรคเนี่ยจะประกอบด้วยส่วนต่างๆอยู่ไม่กี่ส่วนหรอกครับ ถ้าให้ผมแบ่งเอาเฉพาะส่วนที่สำคัญๆอาจจะบอกได้ว่ามันจะมี คาลิปเปอร์(ก้ามเบรค) ลูกสูบเบรค ผ้าเบรค จานเบรค ประมาณนี้ครับ
     
    ปล.
    ขออภัยที่ คห. บนๆ ตัวหนังสือเยอะไปหน่อย พอดีพิมพ์ใน Notepad ครับ จัดหน้าไม่ถูกเลย - -"
     

     
     
     
     
    5.2 ชนิดของcaliper
     
     
    เบรคซิ่งราคาแพงนั้นจะมีขั้นตอนในการผลิตที่ค่อนข้างยุ่งยากมากครับ โดยจะใช้วิธีการ Forge ขึ้นรูป เพื่อจะได้ชิ้นงานที่มีคุณสมบัติ เบา แข็งแรง ทนความร้อนได้ดี แน่ล่ะ คุณสมบัติเหล่านี้ย่อมมีผลต่อการใช้งานโดยตรง เพราะเบรคนั้นจะต้องรับภาระหนัก(มาก) ยิ่งรถซิ่งแรงม้าเยอะๆแล้วล่ะก็ ต้องรับภาระหนัก(สุดๆ)กว่ารถเดิมๆเยอะพอตัวเลย
     
    ความใหญ่ของ Caliper นั้นจะแปรผันตรงกับขนาดและจำนวนของลูกสูบเบรค(pot)ครับ
     
     
     
    รูปภาพ: เบรคในฝัน Project mu ที่แสนจะแพง Y_Y
     

     
     
     
     
    5.3 ลูกสูบเบรค
     
    บางคนเริ่มงงว่าเบรคมันมีลูกสูบด้วยเหรอ ... แรกๆผมก็เป็นครับ เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วยังเคยคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่า " กรูนึกว่าลูกสูบมันมีเฉพาะในเครื่องซะอีก"
     
    ลูกสูบ(ขออนุญาตเรียกว่าพอตแทนแล้วกันนะครับ)จะมีหลายไซส์หลายขนาดครับ ที่เคยพบเจอในตลาดของแต่งรถและที่เคยผ่านๆมือมาน่าจะมีประมาณนี้
     
    - 2 พอตเล็ก
    - 2 พอตใหญ่
    - 4 พอตเล็ก
    - 4 พอตใหญ่
    - 6 พอต
    - 8 พอต
    - 12 พอต !!! ??
     
    จากตัวเลข สังเกตุได้ว่าเป็นเลขคู่ทั้งหมด ก็เพราะว่า ลูกสูบจะถูกติดตั้งทั้งสองข้างของคาลิปเปอร์(มีกี่พอตก็หารสองเข้าไป)ประกบจานเบรคเอาไว้ เวลาเรากดเบรค น้ำมันเบรคจะดันลูกสูบทั้งสองด้านเลื่อนออกมาเข้าประกบกับจานเบรคโดยผ่านผ้าเบรคนั่นเองครับ
     
     
     
    รูปภาพ : เบรค 12 pot (เดาว่าล้อแม็กเล็กๆ ก้านไม่ยก น่าจะติดกับเบรคแหงๆ)
     

     
     
     
    5.4 ผ้าเบรค
     
    โถ่ อันนี้มันลูกเมียน้อยชัดๆ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยนึกถึงผ้าเบรคกันซักเท่าไหร่ ทั้งๆอันที่จริงมันเป็นตัวเสียดสีกับจานเลยนะ ตรงส่วนนี้ไม่มีอะไรจะแนะนำครับ เพราะแต่ละยี่ห้อเค้าก็อวดอ้างสรรพคุณกันอย่างละเอียดยิบ ผสมสารนู่นนี่นั่นเยอะแยะเต็มไปหมด ....... อ่อ แต่จะบอกว่า ผ้าเบรคแต่ละแบบก็ต่างกันนะ คร่าวๆคือ
     
     
    Standard : อันนี้ก็บอกอยู่แล้วว่าเกรดทั่วๆไปครับ เน้นการใช้งานธรรมดาเป็นหลัก ผ้าเบรคจะหมดช้าหน่อย ฝุ่นจากการเบรคน้อยครับ
     
    Street racing : อันนี้เขียนประเภทเอาเอง อย่าไปอ้างอิงนะครับ ตัวนี้ดีขึ้นมาหน่อยนึง คือสามารถทนความร้อนได้สูงกว่า Standard ราคาสูงขึ้นมาหน่อยนึง
     
    Racing : เป็นผ้าเบรคเกรดซิ่ง เรียกได้ว่าดีที่สุดในหมู่ผ้าเบรค สามารถทนความร้อนได้ดีมาก ป้องกันการ *Fade ของผ้าเบรค เบรคนิ่งสนิทหยุดทุกสิ่งอย่าง มีอายุการใช้งานค่อนข้างสั้น ผ้าเบรคจะหมดเร็วมากครับสำหรับชนิดนี้ ฝุ่นจากการเบรคจะเยอะเป็นพิเศษ ราคาแพง ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าจานเบรคไม่ได้เป็นเนื้อคู่กับผ้าเบรคแล้วล่ะก็ อาจจะเกิดอาการผ้าเบรคกินจานเบรคได้ครับ
     
     
    *Fade- หมายถึงการเสื่อมสภาพของผ้าเบรค โดยจะสูญเสียแรงเสียดทานในการเบรคไป ทำให้เบรคไม่อยู่ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเกิดความร้อนในการเบรคมากเกินกว่าที่ผ้าเบรคจะรับได้จนเสื่อมสภาพสิ้นชีพไป
     
     
    รูปภาพ:จานเบรคที่มีความร้อนสูงมากจนเปลี่ยนสีไปเลยทีเดียว
     

     
     
     
    5.5 จานเบรค
     
    แบ่งออกเป็น 2 ประเภทครับ คือ
     
    - จานเบรคตัน หรือ Solid rotor : จานประเภทนี้พบเห็นได้ทั่วไป(หลายๆรุ่น) จานจะมีลักษณะเป็นเหล็กตันชิ้นเดียว หน้าตาบ้านๆ เรียบๆ
     
    - จานเบรคมีรูระบายตรงกลาง หรือ Ventilated Rotor : จานประเภทนี้จะอยู่ในรถที่มีแรงม้าสูงหน่อย หรือมีน้ำหนักมาก (ไม่จำเป็นต้องรถแพงนะ ของผม Evo2 ก็เป็นสองชิ้นเนี่ยแหละ) โดยจะเป็นเหล็กสองชิ้นประกบกัน โดยมีช่องระบายอากาศตรงกลาง เพื่อระบายความร้อนออกมา(ไม่ใช่เอาอากาศเย็นเข้าไปนะ)
     
     
    รูปภาพ : จานเบรคชนิด Ventilated Rotor
     

     
     
     
    ขอเพิ่มเติมนิดหน่อย พอดีเพิ่งจะนึกขึ้นได้ครับ
     
    จานเบรคอีกประเภทนึงที่นิยมในปัจจุบันและราคาค่อนข้างแพงมากก็คือ จานเบรคแบบสองชิ้น โดยจะแยกกันออกเป็นสองส่วนครับคือ Hub และ Disk โดย Hub เนี่ยจะเป็นจุดที่ติดอยู่กับดุมล้อรถยนต์ของเรา ส่วน Disk ก็คือจานเบรคก็อ้ายที่มันสัมผัสกับผ้าเบรคนั่นแหละ
     
    ข้อดีของจานเบรคชนิดนี้ก็คือ มันจะสามารถให้ตัวได้เมื่อเบรคมีความร้อนสูงๆครับ เป็นผลให้ป้องกันจานคดได้ดีทีเดียวเชียว ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ น้ำหนักเบา ส่วนข้อเสียมีอยู่อย่างเดียวครับ ........... แพงมว๊ากกกกก
     
     
    รูปภาพ: จานเบรคสองชิ้น ชนิด Ventilated Rotor
     

     
     
     
    ตรงส่วนนี้ผมเพิ่มเติมจากบทความที่เขียนเอาไว้ เนื่องจากมีเยอะมากที่คิดผิด เอาจานเบรคเดิมไปเจาะรูเซาะร่อง จะบอกว่ามันไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่งเลยนะครับ เพราะจานเดิมๆนั้น ไม่ได้ถูกออกแบบมา เมื่อเจาะหรือเซาะร่องลงไป มันจะทำให้ความแข็งแรงของวัสดุลดลงครับ เป็นเรื่องของ Grain ในเหล็กนั่นแหละ
     
    เมื่อมันไม่แข็งแรงเท่าเดิม จะก่อให้เกิดอะไรขึ้นครับ ??? ........... ก็จานเบรคแตกน่ะสิ ... อันนี้เตือนด้วยความหวังดีจริงๆนะครับ อย่าทำเลย มันไม่คุ้มกับความเท่ห์หรอก
     

     
     
     
    เอาล่ะ จบแล้วนะครับสำหรับในส่วนของช่วงล่าง
     
    ครั้งต่อไปพบกันกับส่วนของเครื่องยนต์กันบ้าง
     
    ใครมีติดขัดเรื่องอะไรตรงไหน ลองโพสต์ไว้ในกระทู้ได้เลยนะครับ เชื่อว่ามีเทพๆในห้องนี้พร้อมตอบให้อยู่แล้วครับ
     
     
    บ๊ายบาย
     

  25. Like
    7dozen reacted to ponsit in 1.8 E ภายในสีเบจเริ่มดำแล้ว ทำไงดีครับ   
    สเตคลีน อีก 1 เสียงครับ
     
    ใช้ร่วมกับแปรงขัดผิว
     
    ตอนแรกใช้แปรงสีฟัน
     
    แต่ไม่ไหว หัวเล็กเกิ้นนนนน
×
×
  • Create New...