hackcomen

สรุปว่า โช้คหลังเสียครับ จัดการเอาไปอัดน้ำมันใหม่ดูก่อน เสียงหายกริ้ป

อาการเดียวกัน ตอนนั้นทางศูนย์ให้เปลี่ยนแบริ่งก้านสูบห้องแรก ถ้ายืนหันหน้าเข้ารถ ก็คือสูบแรกที่อยู่ซ้ายมือ
เห็นว่าปัญหาคือ ตอนเครื่องร้อน แบริ่งน่าจะหดหรือขยายตัว ทำให้เกิดช่องว่างนิดหน่อย และมีเสียงดัง
เค้าจึงแก้ปัญหาโดยใช้แบริ่งใหม่ เห็นช่างบอกว่าใหญ่กว่าเดิมนิดหน่อย เพื่อแก้ไขเสียงที่เกิดจากช่องว่างที่มาจากการขยายหรือหดตัว
 
 
แต่สรุป ผมไม่ได้ทำนะครับ เพราะช่างต้องรื้อท่อนล่าง ผมกลัวจะช้ำกว่าเดิม เลยใช้แบบต้อกๆ มาเรื่อยๆ
มันก็ดังประมาณเดิมมาตลอด ใช้มา 4 ปีกว่า ก็ดังมาตลอด

มันจะขาดได้จากยางก่อนครับ
 
นั่นคือ ผิวยางแข็ง ไม่ยืดหยุ่น และ แตก   เนื่องจากจากความร้อนหรือ สารเคมี 
 

 
จากรูปจะเห็นว่า สายพานยังไม่เสียรูป เนื่องจากเส้นใยเหล็กไม่ขาด และ ผิวยางด้านนอกไม่แตกเพราะเคลือบผ้าไว้ครับ ไม่ให้ยางสัมผัสกับสารเคมีได้โดยตรง
 
แต่ยางด้านใน เคลือบอะไรไม่ได้ครับ ต้องให้มันทำหน้าที่ของมันไป สิ้นอายุขัยของมันก้อเปลี่ยนได้ครับ 
 
สายพานทำงานปกติ จะขาดได้ต่อเมือสันยางบิ่น ฉีก หมดสภาพ  ยางปีนร่อง รั้งจนใยเหล็กยืดจนเกินจุดคลาก และขาดครับ 

ไปเข้าศูนย์จัดมาเรียบร้อยครับ เอามาแชร์เผื่อใครเจอปัญหาแบบผม
ตอนแรกก้หาข้อมูลจากหลายๆที่รวมทั้งในคลับ(ขอบคุณอีกครั้งครับ) จนมั่นใจว่าน่าจะเป็นลูกสูบของคาลิปเปอร์แน่ คิดอยู่ว่าจะทำอู่หรือศูนย์ เพราะอู่อาจถูกว่า แต่คิดไปคิดมาเอาที่มีประกันสบายใจดีกว่า
สรุป... ก็ตามนั้นครับ ลูกสูบด้าในเป้นสนิม ถ้าทำอู่อาจเอามาขัดใช้งานต่อได้ แต่ศูนย์ก็เปลี่ยนยชุดครับ
 
ค่าเสียหาย
เจียร์จานเบรคทั้ง 2 ด้านเจียประชิด ด้านที่มีปัญหาช่างบอกว่ามีใหม้ด้วยเนื่องจากร้อนจัดจากเบรคค้าง ก็คงตอนที่ผมว่าร้อนจัดแน่ๆ ไม่รู้เป็นมานานแค่ใหน  880
ชุดยางกันฝุ่น 1   667
ผ้าเบรคหลัง 1   2272
ลูกสูบเบรค  1  899
เติมน้ำมัเบรค   130
ค่าแรง    600
 
สิริรวมประมาณ  5800 บาท   ประกันอะไหล่ 1 ปี  ตัวเบากันไป 555  เพื่อความปลอดภัยครับ
เอามาเป็นข้อมูลกัน

ซื้อจากเจ้าเดียวกันเลยครับ :huh:
มีเสียวๆ เหมือนกันแฮะ ช่วงนี้ เบรคแล้วมีเสียงดังกึกๆๆ ตอนเบรคหนัก ๆ ซะด้วย แต่ระยะเบรคก็ปกติ ไม่ดึงซ้ายขวา

ภาษีส่วนหนึ่งก็แบ่งให้เค้าไปเที่ยวกันไง
 
นี่แค่คณะเดียวนะ ถ้ารวมทั้งหมดก็ราวๆ 40-50 คณะต่อปี
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000115610
 
ท่านๆ จะได้รับการจัดสรรเพื่อการนี้ คนละมากกว่า 200,000 บาท ต่อปี เพื่อภารกิจอยากไปไหนก็ไป ลองคูณดู

เห็นราคาขายต่อแล้วก็ เห็นชัดเจนขึ้นอีกมาก ๆ ครับ

ถ้าชอบโค้งแบบขึ้นเขาลงเขาวิ่งต่างจังหวัดแถวๆ 120-180
ขับคนเดียว นั่งคนเดียว รถเบาหวิวๆ ก็ 19 - 22 มม คับ
 
ถ้านั่งปกติ 2-5 คน ก็ 16 - 19 มม คับ
 
FD เราถ้าถ่วงท้ายหน่อยก็เกาะถนนเหมือนกันครับ เพราะล้อมันแบะ
 
ปล.ส่วนตัวผมใส่ 22มม สีฟ้า อยู่ค้าบ
แล้วแต่ชอบเลยคร้าบ

รถฮอนด้าคันเก่าผมใช้มา 10ปี.. ล้างเครื่องด้วย flushing oil 2หมื่นโลทีนึง... ไม่มีปัญหาคับ
 
มันก็คือน้ำมันเครืองแต่ใสกว่าปกติ และปกป้องเครืองยนต์น้อยกว่าน้ำมันเครื่องปกติ... ทำให้สึกหรอมากกว่าเดิมแค่นั้นเอง
แต่เวลาล้าง เค้าจะปล่อยน้ำมันเครื่องเก่าออกหมด แล้วใส่ flushing oil เข้าไปแทนน้ำมันเครือง
แล้วติดเครื่องไว้แค่ 5นาทีแล้วปล่อยทิ้ง แล้วจึงเติมของใหม่เข้าไป (ถ้าจะสึกหรอ มันก็แค่ 5นาทีคับ.. ไม่ได้ติดเครื่องแช่ไว้เป็นชั่วโมง)
 
ข้อดีของมันก็คือว่า.. มันล้างน้ำมันเครื่องเก่าออกหมดเกลี้ยงกว่าแค่ปล่อยให้ไหลออกเอง
ทำให้น้ำมันเครื่องที่เติมเข้่าไปใหม่จะใสกว่า.. และใสได้นานกว่า
 
ข้อแนะนำก็คือว่า.. ถ้าเครื่องคุณสะอาด เปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อย แล้วล้างเครื่องด้วย flusing oil บ่อย.. ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าเครื่องเก่า ไม่เคยล้างเครื่องมาก่อน... อยู่ดีๆ ไปใช้.. มันอาจจะชะล้างคราบน้ำมันเครื่องเก่าๆ ออก.. กลายเป็นเครื่องหลวม กินน้ำมันเครื่องได้คับ
 
(ใครที่เข้าใจว่ารถเก่า 15ปีขึ้นไป ค่อยฟิตมาล้างเครื่อง.. เข้าใจผิดแล้วคับ... มันเหมาะกับรถใหม่ๆ ที่เครื่องยังไม่หลวมคับ)

หากน้องกังวลเรื่องแบบนี้
 
- หลังจากถ่ายน้ำมันเครื่อง flushing oil ทิ้ง ให้เติมน้ำมันเครื่องจริงๆชนิดราคาถูกลงไป แล้วสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้
ทำเหมือนขั้นตอนการ flushing (แต่รอบนี้ใช้น้ำมันเครื่องจริงๆ)
 
- สักพักก็ถ่ายน้ำมันเครื่องถูกๆนั้นทิ้ง .. แล้วค่อยใส่น้ำมันเครื่องดีๆลงไป (double flushing)
 
มีอะไรโพสไว้ หากว่างจะเข้ามาช่วยตอบ (เท่าที่รู้) ครับ

มีค้างอยู่แน่นอนครับ แต่ไม่มาก
ที่สำคัญ อย่าเร่งเครื่องขณะ flushing
เพราะคุณสมบัติหลักคือการ ชำระคราบ,ยางเหนียวต่างๆ
ที่ไม่ไหลอออกมาในการถ่ายน้ำมันเครื่อง

ไม่ควรทำครับ เพราะซากอารยธรรมต่างๆ ของเครื่องยนต์ ตั้งแต่ออกป้ายแดงจนถึงปัจจุบัน
จะถูกตีให้ลอยขึ้นมา ถ้าโชคดีมันไหลออกไปพร้อมน้ำมันหมด ก็ไม่มีอะไร
แต่ถ้าโชคร้ายเศษชิ้นส่วนโลหะไปติดตามชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวต่างๆ ลองนึกสภาพละกันครับ
อย่างน้อยก็แค่โดนขูดเป็นรอย แต่ถ้ามากๆ เข้าไปติดขัด เรื่องเล็กๆ อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้
แค่เปลี่ยนถ่ายของเหลวตามเวลาก็พอครับ
- น้ำมันเครื่อง ไม่เกิน 10000 km. (fully syn)
- น้ำมันเกียร์ A/T ไม่เกิน20000 km. (ของ 0)
- น้ำมันเกียร์ M/T ไม่เกิน 50000 km. (ของ 0)

ผมตอบได้เลยว่าไม่จำเป็นครับ เพราะ FD เราเป็นรถใหม่อยู่ครับไม่จำเป็นต้องทำครับ
 
 
 
 
วิธีนี้ต้องใช้กับรถที่เก่าจริงๆ (15ปีขึ้นไป ) หรือรถที่มีปัญหาเรื่องระบบของเหลวมากจริงๆ ถ้ารถใหม่ ไม่แนะนำ ไม่เกิน 6-7ปี ถ่ายน้ำมันเครื่องธรรมดาตามปกติก็โอเคแล้ว

เรื่องปกติบนท้องถนน อย่าไปคิดมากครับ แต่งรถโหดไม่โหดช่วยไรไม่ได้
ทำหน้าโหดๆ ดีกว่า ได้ผลแน่นอน
 
เคยเจอบ่อยเหมือนกัน เปิดไฟสูงใส่หรือ ขับจี้ๆๆ ผมก็หลบให้แซงไป ใส่ไฟสูงคืน
เคยกดกระจกลง ตะโกนถามไปว่า " มีไรเหรอ" แล้วชี้ไปข้างทาง ก็ไม่เห็นมันจะจอดคุยซะคัน

เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า รถยนต์ที่เราซื้อไปแต่ละคันนั้น เราได้จ่ายภาษีต่างๆ ที่รวมอยู่ในราคารถยนต์นั้นเป็นจำนวนเท่าไร คราวนี้เรามีข้อมูลการเก็บภาษีของภาครัฐที่จัดเก็บจากสินค้าประเภทรถ ยนต์(เฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคล)มานำเสนอ ซึ่งเมื่อดูแล้วจะทราบถึงสาเหตุที่เราต้องซื้อรถยนต์ที่ราคาสูงกว่าประเทศ อื่นเขา
โครงสร้างการคิดภาษีรถยนต์ในประเทศไทยจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 รถนำเข้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศ
 
การคิดภาษีสำหรับรถนำเข้านั้น จะคิดจากราคา CIF (Cost + Insurance + Freight) ซึ่งก็คือ ราคาขายของรถ บวกด้วยค่าอากร ค่าประกันภัย และค่าขนส่งจากต่างประเทศ มาถึงที่ท่าเรื่อที่ประเทศไทย ราคา CIF นี้จะถูกระบุไว้ในเอกสารการนำเข้า ในที่นี้สมมติให้ราคา CIF เท่ากับ 100 บาท ภาษีที่ต้องจ่ายจะประกอบไปด้วย
 
1. อากรขาเข้า ภาษีแรกที่ผู้นำเข้าต้องจ่าย ณ ท่าเรือก่อนนำรถออกจากท่าเรือเข้ามาในประเทศในอัตรา 80% ของราคา CIF ซึ่งเท่ากับ 80 บาท
 
2. ภาษีสรรพสามิต ซึ่งกรมศุลกากรจะทำการเก็บภาษีนี้ พร้อมกับอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตนี้จะถูกเก็บในอัตราต่างกันตั้งแต่ 30-50% ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ หรือขนาดเครื่องยนต์ (ดูตารางการคำนวณภาษีประกอบ) เช่น รถยนต์ขนาดไม่เกิน 2000 ซีซี ที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 30%ของราคา CIF รวมกับภาษีอากรขาเข้า โดยใช้สูตรการคำนวณการจัดเก็บที่เรียกว่า “ฝังใน” คือ
= {(100+80)x30%}
1 –(1.1x30%)

3. ภาษีมหาดไทย ชื่อภาษีมีที่มาจากภาษีที่เก็บได้นี้ถูกนำไปบริหารประเทศโดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งภาษีมหาดไทยจะคิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย
 
4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตรา 7% ของราคา CIF + อากรขาเข้า + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีมหาดไทย
 
ซึ่งเมื่อรวมภาษีทั้ง 4 ชนิดเข้าด้วยกันแล้ว จากราคารถสมมุติที่ 100 บาทจะกลายเป็น 287.5-428.0 บาท(ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ) ซึ่งมูลค่าดังกล่าวนี้ยังไม่รวมอัตรากำไร และค่าดำเนินการอื่นๆ ของบริษัทผู้จำหน่าย ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เราจะเห็นรถราคา 1 ล้านในเมืองนอกมาขายที่บ้านเราในราคา 3-4 ล้านบาท เพราะภาระภาษีมันสูงเช่นนี้นี่เอง

เข้าที่ link นี้ได้เลยครับ
 
เลือกรุ่นรถ honda แล้วเลือกระยะทางที่จะเข้า service
 
https://www.honda.co.th/service/periodical/detail

วิธีการทำ Final Claim ก่อนรถครบ 3 ปี หรือ 1 แสนกิโล
ตรวจสอบรถเราตามรายการด้านล่าง ว่ามีอาการหรือไม่
ถ้าพบให้แจ้งเคลมกับพนักงานรับรถ ที่ศูนย์บริการ
หากไม่พบ แจ้งให้ตรวจสอบ แล้วเก็บไว้เป็นหลักฐาน เผื่อพังหลังหมดประกันไม่นาน จะได้ขอเคลมได้

 
Update ล่าสุดครับ ถ้ากลัวจำไม่หมด
ก็พิมพ์ไปให้ศูนย์ดู แล้วบอกว่าตรวจสอบตาม List นี้ให้หน่อย
เสียงลมเข้าประตูหน้าขวา (ไม่ได้แก้ให้ แต่เดี๋ยวมีไปซ้ำเพราะยังไม่หาย)
เสียงก๊อกแก๊กประตูหน้าขวา (ไม่ได้แก้ให้ แต่เดี๋ยวมีไปซ้ำเพราะยังไม่หาย)
รอบเดินเบาไม่นิ่ง (แก้โดย Up firmware ใหม่ หายสนิท แจ๋วมากกกก)
ตรวจสอบเสียงต๊อกๆ (อันนี้ไม่มีปัญหาแจ้งไปก่อน)
เคลม H Mark บนพวงมาลัย (อันนี้ผมว่าเป็นทุกคันมั้ง)
เวลาเลี้ยวเร็วมีเสียงดัง (ตอนนี้หายไปละ สงสัยกลัวช่าง)
ตรวจสอบพวงมาลัยเพาเวอร์ ทั้งแร็กและปั๊มเพาเวอร์ (มีคนรั่วกันบ่อย)
ตรวจสอบยางแท่นเครื่อง (เปลี่ยนแล้ว แต่เผื่อขาดอีก)
โคมไฟหน้าที่เป็นฝ้า
อาการโช๊คแตก
เบาะหนังฝั่งคนขับ มีรอยยับที่ปีกเป็นแนวยาวขวางกับรอยยับปกตินะ
ที่ครอบเกียร์สีลอก และขอบที่วางแก้วน้ำ
ลูกปืนล้อหลังขวา
ยางที่คาดบนหลังคาด่าง
ลูกหมากแร็ค เวลาตกหลุมแล้วมีเสียงดังกึกๆ
ขอบยางตรงประตูหลังซ้าย/ขวา หลุด แตก
แผงจิ้งหรีด เป็นคราบขาว (คราบอะไรก็มะรู้เนาะ ขาวๆ สงสัยจริงๆ)
ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงในถังเสียงดังผิดปรกติ